วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ระเบิดสำหรับพวกขี้เกียจเรียน

สารพัดวิธีทำระเบิด

ระเบิดเจลาติน

ใครทำตามตายขึ้นมาไม่รู้นะเฟร้ย ผู้ทำควรเป็นคนที่ชำนาญมากๆ หรือก็เบื่อชีวิตสุดๆเท่านั้น

ระเบิดอันนี้ต้องเก็บเย็นมากๆครับ อย่าให้เกิน 0 องศา C เด็ดขาดไม่งั้นตู้พัง

สัดส่วนผสม
1. ไนโตรกรีคอล 75% (หาเองเฟ้ย ผสมจาก Antifreeze ได้ แต่ไม่สอน เด๋วคนทำตายก่อน)
2. ดินปืน IMR แบบไร้ควัน 6% (ซื้อจากร้านไฟแช๊คดูป๊อง)
3. โปรแตสเซียมไนเตรท (หาไม่ได้ก็อย่าทำเลย ตายเปล่า)
4. แป้งขนมปัง (งงดิ งงใช่มะ)

ผสมล่ะนะ
1. เอาโปแตสเซียมไนเตรทกับไนโตรกรีคอล ระวังระเบิดล่ะ เพราะไนโตรกรีคอลมันระเบิดง่ายมากๆ ควรใส่ถุงมือตลอดเลยนะ
2. ผสมแป้งมันกับโวเดียมคาร์บอเนต แล้วเอาข้อ 1 ผสมเข้าจนเป็นเนื้อเดียวกันนะ ผสมช้าๆ เบาๆ อย่าให้มือขาดล่ะ
3. ผสม IMR เข้าไปหลังจากสารทั้งคู่เป็นเนื้อเดียวกันแล้ว แล้วผสมต่อให้ IMR เข้าเป็นเนื้อเดียวกันด้วย

เอาไปใช้ให้เร็วที่สุด เพราะมันด้านง่าย ระเบิดเองก็ง่าย ถ้าจะเก็บก็อย่าให้เกิน 10C เด็ดขาด อัตราระเบิดอยู่ที่ 7700 เมตรต่อวิฯ

เตือนอีกที เฉพาะคนที่อยากตายหรือชำนาญมากๆ ค่อยทำ
ผมผสมแล้ว โต๊ะพังไป 1 ตัว กางเกง 4 ตัว

ระเบิดขวด (ไม่ใช้ระเบิดมาทอฟนะ)
สิ่งที่ต้องใช้
1. กรดไฮโดรคลอริค หาได้จากน้ำยาล้างห้องน้ำ ฟุตบาท ลานจอดรถ
2. ขวดน้ำอัดลม (พลาสติก) ขนาด 1 - 3 ลิตร (2 ลิตรดีที่สุด)
3. ตะกั่วแผ่น หาซื้อจากร้านเครื่องใช้ในบ้าน

วิธีทำ
1. ม้วนตะกั่วแผ่นเป็นแท่งยาวๆ แล้วตัดเป็นแท่งเล็กๆ แท่งละ 3 นิ้ว ให้ได้ 7 - 8 แท่ง
2. เทกรดไฮโดรคลอริคลงในขวด (กรุณาใช้กรวยกรอกน้ำ เสียดายน้ำยา) สูง 2 นิ้ว
3. ยัดตะกั่วแผ่นที่ม้วนแล้วลงไป 7 - 8 แท่งต่อขวด
4. เขย่าแรงๆ 1 ทีแล้วโยน
5. หนีดิ อยู่หาสวรรค์วิมาราอาราย (คำเตือน...คำเตือน...คุณมีเวลา 25 วินาทีก่อนการระเบิด)

อานุภาพ
ระเบิดนี้เสียงดังมากกกก ขวด 2 ลิตรเสียงเท่า TNT ครึ่งแท่ง แต่ความรุนแรงห่างกันไกล กระนั้น! มันก็แรงพอจะฉีกมือออกจากข้อมือสบายๆ จากการทดลองเอาใส่ท่อเหล็กปิดฝา ฝาที่ทำจากหน้าจานตาบอด (แผ่นเหล็กตันทรงกลม) กระเด็นขึ้นไปตกที่ชั้น 3 (ใช้ส่วนผสมตามที่ให้ไว้)

เตือนอีกที ใครอยากครบ 32 อย่ามั่วทำ ถ้าไปทำใครตาย หรือทำแล้วตาย หรือไม่ตายก็รับผิดชอบเอาเองนะ

ระเบิดลูกเทนนิส ระเบิดเพลิงงี่เง่า

อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1. ลูกเทนนิสถูกๆ
2. มีดถูกๆ
3. คลอรีนผสมน้ำในสระ เอาแบบเข้มๆหน่อยก็ดี
4. น้ำมันก๊าด ผมใช้แบบที่ใส่เครื่องตัดหญ้า
5. กรวยกรอกน้ำ

วิธีทำ
1. เอามีดมา แทงลูกเทนนิสให้เป็นรู 1 รู กว้างแค่พอจะยัดกรวยเข้าไปได้
2. อัดคลอรีนเข้าไปในลูกเทนนิสให้เต็มเลย
3. เทน้ำมันก๊าดใส่เข้าไปให้ชุ่มคลอรีนแล้วโยนไปไกลๆ

อานุภาพ
10 วินาทีหลังจากคลอรีนเปียกหมดแล้ว บอลจะพ่นควันฟู่ๆๆ แล้วลุกเป็นไฟ ฟู่มมมม! ความรุนแรงแค่พอไหม้มือได้ แต่ห้ามคว้างใส่คนนะ ระเบิดปัญญาอ่อนนี่ใช้ระเบิดรถ/ ถังน้ำมัน/ ปั้มน้ำมันได้ดีเป็นพิเศษ เพราะลูกเทนนิสมันเด้งดี ระเบิดรุ่นนี้ก็เป็นระเบิดเพลิงด้วย ลองเปลี่ยนจากลูกเทนนิสเป็นปิงปองดูก็ใช้ได้เหมือนกัน

ใครเอาไปทำความเสียหายรับผิดชอบเอาเอง เผยแพร่เพื่อการศึกษาเท่านั้นเฟร้ย

ระเบิดงี่เง่า2

อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1. ลูกเทนนิส(อีกละ)
2. ไม้ขีด 4-5 กล่อง
3. มีด
4. กรวยกรอกน้ำ

วิธีทำ
1. เจาะลูกเทนนิสเป็นรูแล้วเอากรวยใส่เข้าไป
2. เลาะหัวไม้ขีดออก แล้วรวบรวมไว้
3. เอาผงที่ได้จากหัวไม้ขีดเทเข้าไปให้เต็มลูกเทนนิส
4. ตัดข้างๆกล่องไม้ขีด (ที่เราใช้ขูดเวลาจุดไฟ) ออกมา แล้วสอด/แปะ เอาไว้ที่รู (ระวังตูม)

เวลาใช้ก็ขว้างไปตรงๆ แล้วมันก็จะตูม (โอกาส 50/50 ถ้าอัดแน่นไป หรือไม่แน่นเลย ถ้าพอดีๆระเบิดแหงๆ)
เห็นมะ งี่เง่ามากเลย ใช้ไล่หมาได้ ไล่คนดี ถือไม่ดีมือแหกอีกเหมือนกัลล์

ระเบิดงี่เง่า 3 งี่เง่าน้อยลงหน่อย
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1. ถ่าน AA
2. ขวดน้ำพลาสติก (ฝาเกลียว)
3. ค้อน
4. ตะปู
5. ถาดอะลูมิเนียม
6. ถุงมือ
7. น้ำยาล้างแผล (ไฮโดรเจนเปอออกไซด์ H2O2)

วิธีผสม
1. เอาถ่าน AA มาตั้งไว้ ใช้ตะปูตอกขั้วลบให้เปิดออก แล้วงัดเอาไส้ในออกมา ให้เป็นแท่งๆ เป็นเศษๆ ไม่ดี ระวังกรดซัลฟิวริคในถ่านให้ดี ควรใส่ถุงมือ
2. เอาไส้ถ่านใส่ถาดอะลูมิเนียมไว้ ไปตากแดด 1 ชม. ให้น้ำกรดระเหยออกไป
3. เอาน้ำยาล้างแผลเทใส่ขวดน้ำ สัก 2 นิ้ว
4. เทไส้ถ่านใส่ขวดที่มีน้ำยาล้างแผลแล้ว เขย่า 1 ครั้งแรงๆ คว้างไปไกลตัว

อานุภาพ
คล้ายๆระเบิดจากตะกั่วกะน้ำยาล้างห้องน้ำนั่นแหละ สามารถโยนฝากระติกน้ำขึ้นชั้น 3 ได้สบายๆ

ข้อควรจำในการผสมระเบิด

การผสมระเบิดทุกลูก ทุกชนิด ต้องทำภายใต้การป้องกันดังนี้
1. ระเบิดที่ผสมขึ้นจากการไนเตรตของกรดต่างๆ จะทำให้เกิดก๊าซที่มีพิษ เช่น การทำ RDX ที่ต้องใช้ กรดซัลฟิวริด 98% ไนเตรตกับ โปแตสเซียมไนเตรต หรือ โซเดียมไนเตรต เพื่อผลิตกรดไนตริค 100% จะทำให้เกิดก๊าซ ไนโตรเจน ไทรอ๊อกไซด์ หากสูดดมจะเกิดอาการวิงเวียน อ้วกแตกอ้วกแตน ปวดหัวม๊ากมาก หรืออาจเสียชีวิต ตายหร่าได้ง่ายๆ จึงควรผสมระเบิดเฉพาะในที่ที่มีอากาศถ่ายเทดีมากเท่านั้น (ควรใส่หน้ากากกันก๊าซพิษด้วย)
2. สารเคมีหลายอย่างมีความสามารถ ซึมผ่านผิวหนังได้ เช่น ไนโตรกรีเซอรีน ถ้าซึมผ่านจะเกิดอาการคล้ายๆข้อ 1 ดังนั้นจึงควรสวมถุงมือทุกครั้งที่จับต้องสารเคมี
3. สารตั้งต้นของระเบิด เช่น RDX ที่ใช้ในการทำ C - C4 นั้น ระเบิดง่าย ยิ่งในตอนผสมยิ่งอันตราย เพราะการไนเตรตแต่ละทีจะเกิดความร้อน อาจตูมได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ถาดที่ใช้ในการไนเตรต ต้องแช่อยู่ในอ่างน้ำแข็ง (มีน้ำครึ่งหนึ่ง) ที่มีความสูงมากกว่าถาด 2 เท่าขึ้นไป ถ้าอุณหภูมิขณะไนเตรตเกิดสูงเกินกำหนด จะได้กดถาดลงอ่างน้ำแข็งไปเลย เสียของดีกว่าเสียแขน จริงไหม?
4. การผสมระเบิดผิดกฎหมายนะจ๊ะ คนที่จะทำคือคนที่ยอมผิดกฎหมายเพื่อความรู้ ถ้านิ้วหาย มือหายเอาผิดใครไม่ได้นะจ๊ะ
5. วัตถุระเบิดที่ผสมเสร็จแล้ว มีอายุและสภาพแวดล้อมการเก็บต่างกัน ถ้าใครผสมแล้วเก็บนาน อาจด้าน หรือคลังแสงหลังบ้านอาจหายไปในคืนต่อมา (ระเบิดเอง) ดังนั้นควรทดลองทันทีที่ทำเสร็จ และผสมแต่พอใช้ (อย่าลืม ผมไม่ได้เผยแพร่ให้เอาไปใช้ในงานสงครามหรือก่อวินาศกรรม ฉะนั้นระเบิดที่เอาขึ้น blog จะมีอายุสั้น ระเบิดง่าย ด้านง่าย อย่างใดอย่างหนึ่ง คนที่จะเอาไปก่อการจะทำได้ยากมาก (วิ่งๆอยู่ตูมใส่มือได้นะจ๊ะ) จึงควรทดลองว่ามันระเบิดได้จริงๆเพื่อเป็นการศึกษา แล้วพอเท่านั้น)
6. การผสมระเบิดต้องใช้ความรู้ทางเคมีสูง ผู้ที่จะศึกษาจริงจังควรเรียนสารเคมีในระดับมหาวิทยาลัยโดยตรง (ถึงผมจะเรียนอักษรก็ผสมได้ แลกกับความเสี่ยงที่ยินดีสละ)


วิธีทำ TNT ใน 15 ขั้นตอน!

1. ผสมกรดไนตริก 57% + ซัลฟิวริค 43% ลงในบิกเกอร์ แล้วผสมกรดซัลฟิวริค 76% + กรดไนตริก 23% + น้ำ 1% ลงในบิกเกอร์อีกอันหนึ่ง
2. เอาบิกเกอร์อีกอัน (ว่างๆ) วางไว้ในถาดน้ำแข็ง + น้ำ (ให้น้ำ+น้ำแข็งในอ่างสูงพอที่สามารถกดบิกเกอร์ให้จมลงไปในอ่างได้)
3. เทสารในบิกเกอร์ที่ 2 ลงไปในบิกเกอร์แช่น้ำแข็ง 10 กรัม
4. เททอลยูอีนลงไป 10 กรัม แล้วคนสารให้เข้ากันสัก 10 นาที
5. ยกบิกเกอร์ออกมาแล้วเอาไปให้ความร้อนจนถึง 50 องศาเซลเซียส คนให้สม่ำเสมอตลอดเวลาที่สารได้รับความร้อน อุณหภูมิต้อง 50 องศาพอดีเดี๊ยะ
6. เอาสารในบิกเกอร์ที่สองมา 50 กรัม แล้วเทใส่เข้าไปขณะที่สารในบิกเกอร์กำลังรับความร้อน ให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 55 องศา แล้วจะมีน้ำมันก่อตัวขึ้นที่ผิวบนของสาร
7. คงอุณหภูมิไว้ที่ 55 องศาเป็นเวลา 12 นาที แล้วย้ายบิกเกอร์ไปลงอ่างน้ำแข็ง ให้อุณหภูมิลดลงถึง 45 องศา น้ำมันที่ผิวสารจะไปกองที่ก้นบิกเกอร์แล้วเราก็ดูดเอาสารออกให้หมด เหลือไว้แต่น้ำมันนั่นเท่านั้น
8. เอาสารในบิกเกอร์ที่สองของข้อแรกมาเพิ่มลงไปอีก 50 กรัม โดยเทลงไปบนน้ำมันที่เหลืออยู่ แล้วเอาไปให้ความร้อนที่ 83 องศา แล้วคงไว้ครึ่งชั่วโมง
9. เอาบิกเกอร์ออกมาใส่ถาดน้ำแข็งให้อุณหภูมิตกลงที่ 60 องศาแล้วคงไว้อีกครึ่งชั่วโมง คราวนี้จะมีน้ำมันเพิ่มขึ้นมากองที่ก้นบิกเกอร์ แล้วเราก็เดรนสารข้างบนออกเหมือนเดิม
10. คราวนี้เติมกรดซัลฟิวริคลงไป 30 กรัม แล้วเอาไปค่อยๆให้ความร้อน ย้ำว่าค่อยๆนะ ต้องทำให้สารมีอุณหภูมิ 80 องศา แต่ต้องค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิอย่างช้าๆ
11. พอสารร้อนได้ที่ (80องศา) ให้เพิ่มสารจากบิกเกอร์แรกในข้อ 1 ลงไป 30 กรัม หลังจากนั้นเพิ่มอุณหภูมิเป็น 104 องศา! คงไว้อย่างนั้น 3 ชม.
12. หลังจากนั้นลดอุณหภูมิลงที่ 100 องศา แล้วคงไว้ 30 นาที
13. คราวนี้เราก็เดรนน้ำมันออกจากสารในบิกเกอร์ เอาลงไปล้างในน้ำอุ่น
14. คนน้ำที่เราเอาลงไปล้างอย่างสม่ำเสมอ สักพัก TNT ก็จะเริ่มแข็งตัวขึ้น
15. คราวนี้เทน้ำเย็นลงไปเลย TNT ที่แข็งตัวจะกลายเป็นสะเก็ดเม็ดๆ เอาไปเก็บ ใช้ ทำลายตามสบาย แต่ใช้อย่างระวัง!!!

*** อย่าลืม สัดส่วนต่างๆ ต้องผสมอย่างแม่นยำ % ต่างๆให้เป็น%ของ น้ำหนัก + ห้ามประมาณอุณหภูมิเอาเองเด็ดขาด ใครอ่อนเคมีห้ามลองทำ

ระเบิดพิฆาตคอมพ์ (รุ่นเก่า)

หลังจากไปฝึกในนรกมานานก็ได้กลับมาอีกครั้ง ตอนนี้เอาระเบิดกระจอกไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องการก่อกวนและทำลายอยู่ แล้วยังต้องเรียนวิธีผลิตปืนอีกด้วย -*- มัเยอะจิงว้อย

วิธีทำระเบิดสำหรับพังคอมพิวเตอร์ ง่ายกว่าเขียนไวรัสชาร์จไฟเยอะเลย

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ไม้ขีด 1 กล่อง
2. แผ่น A: 1.44 เม๊กฯ 3.5 นิ้ว
3. สีข้างกล่องไม้ขีด (ส่วนที่ใช้สีให้ไม้ขีดติดไฟ)
4. ตะไบเล็บ

วิธีทำ
1. ตะไบผงไม้ขีดออกจากตัวไม้
2. แก้ดิสก์ออกมา เก็บส่วนต่างๆไว้ให้ดี
3. ลอกแผ่นผ้าบางๆขาวๆออก
4. เอาแผ่นสีข้างของกล่องไม้ขีดไปแปะไว้บนแผ่นแม่เหล็ก (สีดำทั้งแผ่น ตรงไหนก็ได้)
5. เอาผงไม้ขีดไปโรยไว้ข้างๆ (ทับเลยก็ได้) แผ่นจุดไม้ขีด
6. เอาแผ่นเข้าไปประกอบกันให้เหมือนเดิม (ยากที่สุดในการทำระเบิดชนิดนี้เลยล่ะ -*-)
7. เอาไปให้เป้าหมายเปิดในคอมพ์

การทำงาน
เมื่อเป้าหมายทำอะไรสักอย่างให้ดิสก์เริ่มทำงาน เช่น เข้า my computer / โหลด a: / boot เครื่องจาก a: จากแม่เหล็กในดิสก์ก็จะหมุน ลากเอาแผ่นจุดไฟไปสีกับผงไม้ขีด แรงระเบิดแค่ไฟลุก 1 วินาที ความร้อนแค่พอลวกมือ แต่การที่ไประเบิดในช่อง A: จะทำให้แรงดันแรงขึ้นเยอะ พอที่จะเผา A: ได้ทันที และลามไปส่วนอื่นด้วย

วิธีเพิ่มคุณภาพ
เอางี้นะ เปลี่ยนหัวไม้ขีดเป็นไนโตรกรีเซอรีนละกัน พอร้อนๆเข้ามันก็ตูมเหมือนกัน แต่อย่ากระแทกแผ่นแรงล่ะ แหลกทั้งมือเลยนะ -*- ถ้าใช้ RDX ล่ะก็ ควรเพิ่มเข้าไปในชุดไม้ขีดด้วย เพื่อให้เมื่อไม้ขีดติดไฟ ไฟก็จะจุดระเบิดตัว RDX ต่อ ทำให้ระเบิด (อยากเห็นเครื่องคอมพฯกระโดดไหมล่ะ? ตอนทดสอบก็ใช้วิธีนี้แหละ เครื่องกระโดดดึ๋ง)

เอาไว้ดูเล่น เพื่อเกิดคิดสั้นขึ้นมาจะได้หาวิธีถูก

Credit: เว็บบิทแห่งหนึ่ง
 
ปล. ผมลองทำไปหลายอันละ  

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หน่อไม้กำจัดหนอน

หน่อไม้กำจัดหนอน
ผู้จัดทำ                   นายเนรมิตร สินธุกูฏ
                               นางสาวอำนวย งามวาท
                               นางสาวผกากรอง  เพ็ญผาด
ครูที่ปรึกษา            นางสุภาพรรณ ดาษถนิม
                               นางบุสดี การถัก
ผลงาน                    รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 โครงงานวิทยาศาสตร์ ในงานนิทรรศการแสดง
                               ผลงานการจัดการศึกษาของเทศบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ
                               สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดร้อยเอ็ด

1. ที่มาและความสำคัญของปัญหา
     จากการศึกษาและสังเกต พบว่าประชาชนในชนบททางภาคอีสาน ชอบประกอบอาหารรับประทานเอง และเครื่องปรุงในการประกอบอาหารที่ขาดไม่ได้ในแต่ละครัวเรือนคือ ปลาร้า ในครอบครัวหนึ่งเมื่อหาปลามาได้ปริมาณมากจะนำไปจำหน่ายในรูปปลาสด เพื่อเป็นรายได้แก่ครอบครัว ที่เหลือจะแปรรูปเพื่อไว้รับประทานได้นาน เช่น ปลาส้ม ปลาตากแห้ง และปลาร้า

การทำปลาร้า
ส่วนมากจะใช้ปลาตัวเล็กหลากหลายชนิดและเป็นปลาที่ไม่สด ถ้านำไปซื้อขายกันจะราคาถูก ขายไม่ได้ราคาเท่าที่ควร ดังนั้นชาวบ้านจึงนิยมทำเป็นปลาร้า หรือซื้อหามาทำปลาร้าไว้บริโภค

วิธีการทำปลาร้าของชาวชนบท
ก็คือ การนำปลาที่ได้มา ขอดเกล็ดควักไส้ออกแล้วล้างน้ำให้สะอาด ใส่ภาชนะหมักด้วยเกลือสินเธาว์ ทิ้งไว้ประมาณ 1–2 คืนจากนั้นจะใช้ข้าวคั่วโขลกให้แหลกพอสมควร นำมาคลุกเคล้ากับปลาที่หมักไว้คลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วนำบรรจุไว้ในภาชนะที่เรียกว่า “ ไห “ ปิดปากไหเก็บไว้ในครัวเรือนประมาณ 1 ปี นำมาบริโภคได้ หรือครอบครัวที่ทำปริมาณมากจะนำไปจำหน่ายเป็นรายได้ต่อไป

ปัญหาของปลาร้า
ถ้าวิธีการทำไม่ดี ส่วนผสมไม่เหมาะสมกันจะทำให้ปลาร้านั้นเกิดหนอนปลาร้า ทำให้เกิดความเสียหายต่อปลาร้า การนำมาบริโภคหรือการนำไปจำหน่าย
ตัวการสำคัญที่ทำให้ปลาร้าเกิดหนอน คือการที่แมลงวันวางไข่ที่ไหปลาร้า และหรือแมลงหวี่ชนิดหนึ่งวางไข่ที่ปลาร้า จากปัญหาดังกล่าว มนุษย์จึงศึกษาวิธีกำจัดหนอนในปลาร้าด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งอาจได้ผลดี เสีย แตกต่างกันไป

การกำจัดหนอนในปลาร้า
โดยการควบคุมต้นเหตุ คือ แมลงวันหรือแมลงหวี่ โดยการกำจัดปัจจัยในการดำรงชีวิต คือ ที่อยู่อาศัย อาหาร และควบคุมความเหมาะสมต่อสภาพการดำรงชีวิต หรือแม้แต่การป้องกันไม่ให้แมลงดังกล่าวมารบกวน จะเป็นวิธีการที่ทำได้ยาก เพราะแหล่งเพาะเชื้อแมลงวันอยู่ได้ในสถานที่ต่างๆ มากมาย การกำจัดวิธีนี้จึงใช้ไม่ได้ผล
การกำจัดโดยการเขี่ยไข่แมลงวันหรือแมลงหวี่ทิ้ง เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เพราะบางครั้งไข่ตกหล่นลงไปรวมอยู่ในปลาร้าขณะที่มีการเขี่ยทิ้ง หรือระยะเวลาการฟักไข่เป็นตัวหนอนอ่อน ใช้ระยะเวลาสั้น จึงทำให้เกิดหนอนในปลาร้าและไม่ได้ผล
การกำจัดโดยการนำปลาร้าที่มีหนอนไปต้ม เป็นวิธีการกำจัดที่ทำให้หนอนปลาร้าตายหมดจริง แต่ไม่เหมาะหรือไม่สะดวก ในกรณีที่ปลาร้ามีปริมาณมากๆและทำให้การนำไปจำหน่ายไม่ได้ราคา และไม่สะดวกต่อการเก็บ
การกำจัดโดยการใช้สารเคมี ไม่เหมาะสมเพราะเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการระวังรักษาเพื่อความปลอดภัยและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย จึงไม่นิยม
การกำจัดหนอนปลาร้า เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นการรักษารดชาดของปลาร้าคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อช่วยค้นหาแนวทางแก้ปัญหาหนอนปลาร้า สมาชิกในกลุ่มจึงจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง หน่อไม้กำจัดหนอนปลาร้า เพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันและอนาคต

1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา

     1.2.1 เพื่อศึกษาว่าหน่อไม้กำจัดหนอนปลาร้าได้
     1.2.2 เพื่อศึกษาเปรียบเทียบหน่อไม้กับการกำจัดหนอนปลาร้า เมื่อกำหนดชนิดของหน่อไม้ที่ต่างกัน
     1.2.3 เพื่อศึกษาสาเหตุที่หน่อไม้ทำให้หนอนในปลาร้าตาย
     1.2.4 เพื่อศึกษาช่วงระยะเวลาใดมีผลต่อการกำจัดหนอนปลาร้ามากที่สุด

1.3 สมมติฐาน

     1.3.1 ชนิดของหน่อไม้กำจัดหนอนได้ไม่แตกต่างกัน
     1.3.2 หน่อไม้สดกำจัดหนอนปลาร้าได้ดีกว่าหน่อไม้แห้ง และหน่อไม้อัดปี๊ป
     1.3.3 รสขื่นของหน่อไม้ทำให้หนอนในปลาร้าตายได้
     1.3.4 ช่วงเวลาไม่เป็นอุปสรรคกับหน่อไม้กำจัดหนอนปลาร้า

1.4 ขอบเขตของการศึกษา
     1.4.1 ศึกษาเฉพาะหน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้บ้าน ที่เป็นหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง
หน่อไม้อัดปี๊ป
     1.4.2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง ใช้กล่องพลาสติก บิกเกอร์
     1.4.3 ผลจากการศึกษาจำกัดปริมาณหน่อไม้ และหนอนในปลาร้าในกล่องพลาสติก ปริมาณของปลาร้า 1 กิโลกรัม ต่อหน่อไม้ 30 กรัม
     1.4.4 สถานที่ศึกษาทดลอง ตั้งกล่องพลาสติกใส่ปลาร้าไว้ที่สนามสอนหย่อมที่บ้าน
     1.4.5 ช่วงเวลาในการทดลอง ระหว่างเวลา 08.00 - 06.00 น. วันรุ่งขึ้น
               แบ่งการทดลอง 3 ช่วง คือ ช่วงแรก 098.00 น. , ช่วงที่ 2 เวลา 13.00 น. และช่วงที่ 3 เวลา 17.30 น. แต่ละช่วงของการทดลองใช้เวลาสังเกตผลทุกๆ 5 ชั่วโมง

1.5 นิยามเชิงปฏิบัติการ

     1.5.1 หนอนหรือหนอนปลาร้า หมายถึง หนอนที่เกิดจากแมลงวันวางไข่ในปลาร้าและฟักเป็นตัวหนอน
     1.5.2 กำจัด หมายถึง ทำให้หนอนตายหรือหมดไปจากปลาร้า

1.6 ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง

1.6.1 ตัวแปรอิสระ      การทดลองที่ 1 ชนิดของหน่อไม้สดที่ใช้ทดลอง หน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้ไผ่บ้าน
     การทดลองที่ 2 ชนิดของหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง หน่อไม้อัดปี๊ป
     การทดลองที่ 3 ช่วงระยะเวลา 08.00 น. , 13.00 น. และ 17.30 น.
1.6.5 ตัวแปรตาม      การทดลองที่ 1 ลักษณะของหนอนในปลาร้า เมื่อใส่หน่อไม้ในปลาร้า
     การทดลองที่ 2 ลักษณะของหนอนในปลาร้า เมื่อใส่ชนิดของหน่อไม้ต่างกันลงในปลาร้า
     การทดลองที่ 3 ลักษณะของหนอนในปลาร้า เมื่อใส่หน่อไม้ลงในปลาร้าในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ
1.5.2 ตัวแปรที่ควบคุม
     การทดลองที่ 1
           1. ขนาดและชนิดของกล่องพลาสติกทดลอง
           2. ช่วงระยะเวลาการทดลอง และการสังเกตการทดลอง เวลา 08.00 น. สังเกตทุก ๆ 5
ชั่วโมง
           3. ปริมาณของหน่อไม้ที่ใช้
           4. ปริมาณของปลาร้า และจำนวนตัวหนอน
           5. ชนิดของหน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้บ้าน
     การทดลองที่ 2
          1. ขนาดและชนิดของกล่องพลาสติกทดลอง
          2. ช่วงระยะเวลาการทดลอง และสังเกตผลการทดลอง ทุก ๆ 5 ชั่วโมง
          3. ชนิดของหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง หน่อไม้อัดปี๊ป
          4. ปริมาณของหน่อไม้ที่ใช้
          5. ปริมาณของปลาร้า และจำนวนหนอน
          6. สถานที่
     การทดลองที่ 3
          1. ขนาดและชนิดของกล่องพลาสติก ทดลอง
          2. ชนิดของหน่อไม้
          3. ปริมาณของหน่อไม้ที่ใช้
          4. ปริมาณปลาร้า และจำนวนหนอน
          5. ช่วงระยะเวลาการทดลองและสังเกตผลการทดลอง ทุก ๆ 5 ชั่วโมง
          6. สถานที่

1.7 ข้อตกลงเบื้องต้น
     การศึกษาหน่อไม้กำจัดหนอนปลาร้า จะศึกษาเฉพาะการใช้หน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้ไผ่บ้าน และประเภทของหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง และหน่อไม้อัดปี๊ป ที่ใช้กำจัดหนอนในปลาร้าเท่านั้น ส่วนหน่อไม้อื่น ๆ และหนอนชนิดอื่น ๆ จะไม่ศึกษาในที่นี้

1.8 กระบวนการศึกษา

     การศึกษาหน่อไม้กำจัดหนอนปลาร้า ทำการศึกษาตามขั้นตอนของกระบวนการวิทยาศาสตร์ ดังนี้ ขั้นที่ 1 สังเกตเพื่อกำหนดปัญหา
สิ่งที่สังเกต คือเห็นชาวบ้านโคกน้ำเกลี้ยง ตำบลโพนทอง อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ นำหน่อไม้และแขนงของหน่อไม้ มาใส่ลงในปลาร้า
     ผลการสังเกต
     1. เห็นปลาร้ามีหนอน
     2. เห็นไหปลาร้าและปลาร้าในไหมีหนอนตัวเล็กปริมาณมาก
     3. แมลงวันและแมลงหวี่บินตอมไหปลาร้า
     4. เมื่อใส่หน่อไม้สดลงไปในไหปลาร้าที่มีหนอน ทำให้หนอนตาย
     กำหนดปัญหา
     1. ชนิดของหน่อไม้ต่างกันมีผลต่อการกำจัดหนอนปลาร้ามากน้อยหรือต่างกัน อย่างไร
     2. หน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง และหน่อไม้อัดปี๊ป กำจัดหนอนปลาร้า ต่างกัน อย่างไร เพราะเหตุใด
     3. ช่วงระยะเวลาการกำจัดหนอนปลาร้าด้วยหน่อไม้ มีผลอย่างไร
ขั้นที่ 2 ตั้งสมมติฐาน
ขั้นที่ 3 ทดสอบสมมติฐาน โดยการทดลอง ดังนี้
     การทดลองที่ 1 เรื่องหน่อไม้ไผ่ตง และหน่อไม้บ้าน กำจัดหนอน
ปลาร้าได้ ต่างกันหรือไม่
     การทดลองที่ 2 เรื่องหน่อไม้สด หน่อไม้แห้งและหน่อไม้อัดปี๊ป กำจัดหนอนได้ต่างกันหรือไม่ สาเหตุใดหน่อไม้จึงทำให้หนอนในปลาร้าตายได้
     การทดลองที่ 3 ช่วงระยะเวลาใดดีที่สุดในการใช้หน่อไม้กำจัดหนอนปลาร้า
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ผลการทดลอง และสรุปผลกรทดลอง
ขั้นที่ 5 นำหลักฐานที่สรุปได้จากการทดลองไปใช้ โดยการใช้หน่อไม้ไปกำจัดหนอนที่มีอยู่ในปลาร้าที่ใช้อยู่บ้าน
     5.1 ทดลองใช้หน่อไม้กำจัดหนอนในปลาร้าที่เกิดจากแมลงวัน ทดลองใช้หน่อไม้กำจัดหนอนในปลาร้าที่เกิดจากแมลงหวี่ จากปลาร้าในไหจริงที่ชาวบ้านทำแล้วเกิดหนอน

การใช้สารสกัดจากใบและเมล็ดน้อยหน่ากำจัดเหา

ชื่อโครงงาน        การใช้สารสกัดจากใบและเมล็ดน้อยหน่ากำจัดเหา
ผู้จัดทำ               เด็กชายสุริยน กันธิมา
                           เด็กหญิงชลิตา น้ำใจดี
                           เด็กหญิงมัลลิกา นันแก้ว
ครูที่ปรึกษา        นางสุภาพรรณ ดาษถนิม
                           นางสุพรรณี ดาษถนิม
ผลงาน               โครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ปีการศึกษา 2549

ที่มาและความสำคัญ 
                                                                            โรคเหาเป็นโรคที่พบกันบ่อยมากในเด็กนักเรียน ระดับประถมศึกษา โดยเฉพาะนักเรียนหญิง และเป็นโรคเหาที่น่ารังเกียจ สำหรับคนทั่วไป และยังทำให้สุขภาพไม่ดี และก่อความรำคาญให้กับผู้ที่เป็นอีกเนื่องจากมีอาการคันศีรษะ และการรักษาโรคเหาสมัยนี้ ส่วนใหญ่มักจะใช้สารเคมีซึ่งเมื่อใช้แล้วอาจก่อให้เกิดแนวความคิดว่าถ้านำเอาเมล็ดและใบน้อยหน่า มาสกัดเอาสารและผสมกับน้ำมันมะกอก ซึ่งเป็นการปรับปรุงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ผู้จัดทำได้รับประสบการณ์มา คือ ย่าของผู้จัดทำได้ใช้น้ำมันก๊าด เป็นสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อศีรษะและสุขภาพ จึงคิดใช้น้ำมันมะกอกแทน เพื่อนำมาช่วยแก้ปัญหาให้กับนักเรียนหญิง ที่เป็นโรคเหา ซึ่งรักษาโรคเหาได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และร่างกาย อีกทั้งเป็นการนำสมุนไพรธรรมชาติ ใกล้ตัวมาใช้ประโยชน์อีกด้วย

วัตถุประสงค์

     1. เพื่อศึกษาวิธีการกำจัดเหา โดยใช้สารที่สกัดจากเมล็ดและ
ใบน้อยหน่า
     2. เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับนักเรียนหญิงของโรงเรียน
     3. เพื่อนำสมุนไพรธรรมชาติใกล้ตัวมาปรับปรุงใช้ประโยชน์และเป็นการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น

สมมติฐาน

     สารสกัดจากเมล็ด และใบน้อยหน่า ทำให้ตัวเหาเมาและตายในที่สุด
     ตัวแปรที่ต้องปรึกษา
     ตัวแปรต้น เมล็ดและใบน้อยหน่า
     ตัวแปรตาม ความสามารถในการกำจัดเหา
     ตัวแปรควบคุม - ปริมาณเมล็ด และใบน้อยหน่า
      - ปริมาณน้ำมันมะกอก
      - จำนวนเหา
      - ระยะเวลา

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง      1. ใบน้อยหน่า 7. เมล็ดน้อยหน่า
     2. น้ำมันมะกอก 8. เครื่องปั่นหรือครก
     3. ผ้าขาวบาง 9. กระชอน
     4. บีคเกอร์ 10.ถุงมือยาง
     5. ที่คลุมผม 11.ยาสระผม
     6. ผ้าสำหรับเช็ดผม 12.หวีซี่ถี่

วิธีการทดลอง

     การสกัดสารจากเมล็ด และใบน้อยหน่า
     1. นำเมล็ดและใบน้อยหน่ามาตำหรือบดให้ละเอียด โดยแยกกันตำ หรือบด
     2. นำเมล็ด และใบน้อยหน่าที่ตำ หรือบดละเอียดแยกกันหมักกับน้ำมันมะกอก ในอัตราส่วนเมล็ดและใบน้อยหน่าบดละเอียด ต่อน้ำมะกอก 2 : 1 และหมักทิ้งไว้ 10-15 นาที
     3. นำเมล็ด และใบน้อยหน่าที่หมักไว้ได้เวลาแล้วไปคั้น
     4. นำสารที่สกัดจากเมล็ด และใบน้อยหน่า ไปใส่ขวดมีฝาปิด

การใช้สารสกัดจากเมล็ด และใบน้อยหน่ากำจัดเหา
     1. เตรียมตัวนักเรียนหญิงที่เป็นโรคเหา แบ่งออกเป็นกลุ่มประมาณ 5 คน
     2. ใช้สารสกัดทดลองกับนักเรียนที่เป็นเหา อย่างละชนิด
     3. ให้แต่ละคนของกลุ่มนำสารสกัดของกลุ่มตนเองไปชโลมให้ทั่วศีรษะ โดยทำให้ผมเปียกน้ำก่อน ให้เพื่อนในกลุ่มผลัดกันเป็นผู้ช่วย เสร็จแล้วใช้ที่คลุมผมคลุมผมศีรษะหมักทิ้งไว้ 30 นาที (ให้ระวังน้ำสารสกัดเข้าตา เพราะจะทำให้แสบตา และตาอักเสบได้)
     4. เมื่อครบเวลาที่หมักผม ให้สระผมให้สะอาด อาจใช้ครีมนวดผมด้วยก็ได้ เพื่อให้ผมไม่กระด้าง และเช็ดด้วยผ้าให้แห้ง
     5. ให้หวีซี่ถี่ และตรวจดูพร้อมสังเกต ผลการทดลองที่เกิดขึ้นกับตัวเหา และไข่เหา
     6. การทดลองดังกล่าวข้างต้น จะกระทำการทดลอง 3 ครั้ง โดยทำการทดลองสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

ผลการทดลอง
     จากการทดลองใช้สารสกัดจากเมล็ดและใบน้อยหน่า กำจัดเหากับนักเรียนหญิงของโรงเรียนที่เป็นโรคเหา จำนวน 10 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ให้กลุ่มหนึ่งใช้สารสกัดจากเมล็ด และอีกกลุ่มหนึ่งใช้สารสกัดจากใบ ใช้เวลาในการทดลองใช้ 3 ครั้ง โดยใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ปรากฏผลการทดลองดังนี้
การทดลองครั้งที่ 1
     ผลที่ได้จากสารทั้ง 2 ชนิด ตัวเหาที่เป็นตัวแม่ หรือตัวเต็มวัยจะตายบ้าง และมีบางส่วนคลานหนีออกจากศีรษะ แต่ไข่เหานั้น มีเปลือกหุ้มจะไม่เป็นไร จึงทำให้เหาจะอยู่เหมือนเดิม
การทดลองครั้งที่ 2      ผลที่ได้จากสารทั้ง 2 ชนิด ชนิดตัวเหาที่เป็นตัวแม่หรือตัวเต็มวัยที่ยังเหลือจากการทดลองครั้งที่ 1 จะตายเกือบหมด และมีบางสาวนคลานหนีออกจากศีรษะ ส่วนไข่เหาจะออกลูกตัวอ่อน ออกมา และตัวอ่อนจะตายหมด ทำให้ไข่เหาที่ออกลูกมาเป็นไข่รีบเป็นจำนวนมาก จะเหลือไข่ที่ยังไม่ได้ออกลูกอีกบางส่วน
การทดลองครั้งที่ 3
      ผลที่ได้จากการทดลองทั้ง 2 ชนิด ตัวเหาที่เป็นตัวแม่หรือตัวเต็มวัยจะไม่มีแล้ว จะมีแต่ตัวเหาที่เป็นตัวอ่อนที่ออกจากไข่ที่เหลือ จากการทดลองครั้งที่ 2 และในการทดลองครั้งนี้ตัวเหาจะตายหมดและไข่จะรีบหมด สำหรับนักเรียนบางคน ส่วนนักเรียนที่เป็นมาก ตัวเหาจะตายหมด แต่ไข่จะรีบหมด ต้องทำการใช้ยาต่อไป

สรุปผลการทดลอง      จากการทดลองใช้สารสกัดจากเมล็ดและใบน้อยหน่า กำจัดเหาให้นักเรียนที่เป็นเหา จำนวน 11 คน ผลปรากฎว่าสารสกัดทั้ง 2 ชนิด สามารถกำจัดเหา ได้ผลดีมาก ซึ่งกำจัดเหาที่เป็นตัวได้หมด แต่ไข่เหาต้องรอให้ออกตัวจึงกำจัดตัวอ่อนที่ออกจากไข่ได้ ถ้ามีไข่มากต้องใช้สารสกัดหลาย ๆ ครั้งจึงจะกำจัดเหาหมด

ประโยชน์ที่ได้รับ
     1. สามารถทำยาฆ่าเหาจากสมุนไพรธรรมชาติใกล้ตัวใช้เองได้
     2. เป็นการนำสมุนไพรธรรมชาติ ใกล้ตัวมาใช้ประโยชน์เป็นการประหยัดรายจ่ายที่จะต้องซื้อสารเคมีกำจัดเหา
     3. ทำยาขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เป็นเหา ที่ขัดสนไม่สามารถซื้อยาฆ่าเหามารักษาได้
     4. ได้ยาสำหรับการกำจัดเหา ที่ไม่มีสารเคมีที่เป็นสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกาย
     5. เป็นการนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่น มาปรับปรุงประโยชน์และอย่างมีประสิทธิภาพ


ข้อเสนอแนะ
     1. ขณะใช้สารสกัดจากเมล็ด และใบน้อยหน่ากำจัดเหา ระวังอย่าให้สารดังกล่าวเข้าตา เพราะจะทำให้แสบตาและตาอักเสบ
     2. เมื่อสระผมล้างสารสกัดออก ควรสระ 2-3 ครั้ง เพื่อให้กลิ่นสารสกัดหมด เพราะสารดังกล่าวมีกลิ่นเหม็นมาก จะทำให้ผมมีกลิ่นเหม็น
     3. ในการใช้สารสกัดดังกล่าว ควรใช้ตามสถานที่เป็นโรคเหา โดยใช้สารสกัดจนกว่าไข่เหา จะออกเป็นตัวหมด โดยใช้สารสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

กระดาษสวยด้วยชอล์กสี

โครงงาน กระดาษสวยด้วยชอล์กสี ชื่อโครงงาน           กระดาษสวยด้วยชอล์กสี
ผู้จัดทำ                  เด็กชายเนรมิตร สินธุกูฏ
                              นางสาวมานิตา แสนคุณเมือง
                              นางสาวอำนวย งามวาท
ครูที่ปรึกษา           นางสุภาพรรณ ดาษถนิม
                              นางบุสดี การถัก
ผลงาน                   รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 การแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษา
                              ตอนต้น ในการแข่งขันทักษะทางวิชาการนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลระดับ
                             ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ เทศบาลนครนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
                            วันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2546

จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า

     1. เพื่อเป็นการนำชอล์กที่เหลือใช้แล้วนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
     2. เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อกระดาษห่อของขวัญ ปกรายงานและกระดาษแต่งบอร์ด
     3. เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

สมมุติฐาน
     ผงชอล์กสีสามารถชุบกระดาษได้

ขอบเขตการศึกษา

     ใช้ชอล์กสีที่เหลือใช้แล้วภายในโรงเรียน

ตัวแปรที่ศึกษา

     1. ตัวแปรต้น-ผงชอล์กสี
     2. ตัวแปรตาม-สีของกระดาษ
     3. ตัวแปรควบคุม
          - น้ำหนักผงชอล์ก
          - ปริมาตรกรดอะซิติก,ปริมาตรน้ำมันพืช,ปริมาตรน้ำในถาด

อุปกรณ์

     1. เศษชอล์กสี 8. กรดอะซิติก
     2. น้ำมันพืช,น้ำมันหมู,น้ำมันมะกอก 9. น้ำ
     3. กระบอกตวง 10.เครื่องชั่ง
     4. แท่งแก้วคนสาร 11.บีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
     5. บีกเกอร์ขนาด250 ลูกบาศก์เซนติเมตร 12. ถาดอลูมิเนียม
     6. โกร่งพร้อมที่บด 13. ไม้บรรทัด
     7. หลอดฉีดยา

เอกสารที่เกี่ยวข้อง
     1. ไฮเดรเตดแคลเซียมซัลเฟต ( hydrated calcium sulphate )
มีสูตร CaSO4 . 2H2O เมื่อนำมาเผาให้ร้อนถึง 120 - 130 ๐C จะได้ผงสีขาว เรียกว่า ปูนปลาสเตอร์ หินฟองเต้าหู้ หรือเกลือจืด
     2. กรดอะซิติก (CH3COOH) หรือ น้ำส้มสายชู

วัตถุดิบที่ใช้สำหรับผลิตน้ำส้มสายชู ส่วนใหญ่ได้จาก ข้าวเหนียว น้ำตาล กากน้ำตาล แอลกอฮอล์กลั่นเจือจาง หรือผลไม้ เช่นสับปะรด กล้วยสุก และจากน้ำมะพร้าว
     น้ำส้มสายชูตามมาตรฐานที่กำหนดโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
     1. น้ำส้มสายชูหมัก หมายถึง น้ำส้มสายชูที่ได้จากการนำวัตถุดิบมาหมักกับสาเหล้าแล้วนำมาหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชูตามกรรมวิธีการผลิต เช่น น้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรด
     2. น้ำส้มสายชูกลั่น หมายถึง น้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมักแอลกอฮอล์เจือจางกับเชื้อน้ำส้มสายชูตามกรรมวิธีการผลิตและนำไปกลั่นหรือกรอง
     3. น้ำส้มสายชูเทียม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำกรดอะซิติกมาเจือจางด้วยน้ำ 3.น้ำมัน
ทั้งน้ำมันพืชและน้ำมันสัตว์มีกรดไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่ควรทราบว่า กรดไขมันมีสองจำพวก คือ กรดไขมันอิ่มตัว กับ กรดไขมันไม่อิ่มตัว

ผลการทดลอง      น้ำมันหมู มีกลิ่นคาวน้ำมันมีผงชอล์กติดปริมาณมากลวดลายสวยงาม
     น้ำมันพืช ไม่มีกลิ่นคาวน้ำมันสีผงชอล์กติดปริมาณมากลวดลายสวยงาม
     น้ำมันมะกอก ไม่มีกลิ่นคาวน้ำมันสีผงชอล์กติดปริมาณมากลวดลายสวยงาม

เครดิต


เครดิตโครงานhttp://oho.ipst.ac.th/ipst-microbox/30-SampleProjects
เครดิตขอมูล wiki

เรื่อง กรดจากน้ำผลไม้

เรื่อง  กรดจากน้ำผลไม้ 

จัดทำโดย 
1.  นางสาวเยาวรัตน์  ตอสูงเนิน      เลขที่  32
2.  นางสาวสไบนาง  สนิทภักดี        เลขที่  42
3.  นางสาวสุมินตรา   ขวัญถาวร     เลขที่   45

ครูที่ปรึกษาการจัดทำโครงงาน
คุณครูสราวุธ   โครตมา

โรงเรียนภูเขียว
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชัยภูมิ  เขต  2

กิตติกรรมประกาศ
            โครงงานวิทยาศาสตรื  เรื่อง  กรกจากน้ำผลไม้  จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาเกี่ยวกับการทดลองหาระดับความเป็นกรดของน้ำผลไม้แต่ละชนิดที่มาผสมกันและทดสอบความสามารถในการกัดกร่อนของน้ำผลไม้ที่ผสมกันแล้วนำมาเติมเกลือละลายน้ำว่ามีฤทธิ์ในการขจัดคราบสกปรกของเหรียญหรือไม่  โดยได้รับการสนับสนุนจากท่านคุณครู สราวุธ โครตมา  ครุประจำวิชาและได้รับการสนับสนุนจากผุ้อำนวยการโรงเรียนภูเขียวและขอขอบพระคุณที่ได้ให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงงานและได้รับความอนุเคราะห์จากพ่อแม่ผู้ปกครองที่ได้ให้ข้อเสนอแนะ  แนะนำเอกสารตำราต่างๆให้ศึกษาค้นคว้า
           คณะผู้จัดทำ  ขอขอบพระคุณทุกท่านดังที่ได้กล่าวถึงมาข้างหน้าและที่ไม่ได้กล่าวถึงไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างสูง
 คณะผู้จัดทำ

บทคัดย่อ
           โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง กรดจากน้ำผลไม้ การทดลองนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ทดสอบหาระดับความเป็นกรดและความสามารถในการกัดกร่อน โดยแบ่งการทดลองออกเป็น2ตอนดังนี้ คือ ตอนที่ 1 ศึกษาหาระดับค่าความเป็นกรด โดยการนำน้ำมะนาวผสมกับน้ำสับปะรด น้ำมะนาวผสมกับน้ำส้ม และน้ำสับปะรดผสมกับน้ำส้ม เพื่อทดสอบหาระดับค่าความเป็นกรด ว่าน้ำผลไม้ที่ผสมกันนั้น แบบใดมีค่าความเป็นกรดเรียงลำดับจากค่า และในตอนที่ 2 จะศึกษาเกี่ยวกับความสามารถในการกัดกร่อนของน้ำผลไม้ที่ผสมกันในตอนที่ 1 โดยการเติมเกลือละลายน้ำลงไปในน้ำผลไม้ที่ผสมกันไว้ทั้ง 3 แบบ แล้วหลังจากนั้นนำเหรียญที่มีคราบสกปรกมาใส่ในน้ำผลไม้ทั้ง 3 แบบ และสังเกตผลการทดลอง
บทที่ 1
บทนำ
   ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
          ประชาชนส่วนใหญ่นิยมดื่มน้ำผลไม้เพื่อคลายร้อยและกระหาย  บางครั้งก็นำนำผลไม้มาแปรรูปซึ่งเป็นการถนอมอาหารอีกรูปแบบหนึ่งหรือนำมารับประทานแทนของว่างก็ได้  กลุ่มของดิฉันจึงได้นำข้อมุลเหล่านี้มาคุยและปรึกษากันกับสมาชิกภายในกลุ่มว่าเราสามารถนำผลไม้บางชนิดที่มีฤทธิ์ความเป็นกรดมาขจัดคราบสกปรกบนเหรียญได้หรือไม่และถ้าต้องจัดระดับค่าความเป็นกรดเมื่อนำน้ำผลไม้มาผสมกับนั้นจะสามารถเรียงลำดับว่าอับว่าอันไหนมีค่าความเป็นกรดสูงสุดจากข้อสงสัยต่างๆเหล่านี้กลุ่มของดิฉันจึงได้คิดค้นจัดทำโครงงานนี้ขึ้นมา

       วัตถุประสงค์
           1.  เพื่อศึกษาหาระดับค่าความเป็นกรดของน้ำผลไม้เมื่อนำมาผสมกัน
         2.  เพื่อศึกษาว่ากรดจากน้ำผลไม้ที่ผสมแล้วเติมเกลือละลายน้ำลงไปจะมีความสามรถใน ในการขจัดคราบสกปรกหรือไม่
         3.  เพื่อศึกษาหาความสามรในการกัดกร่อนของน้ำผลไม้เมื่อนำเกลือละลายน้ำมาผสม
      
        ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
             1.  ได้ทราบถึงระดับกรดเมื่อทำการทดสอบจากน้ำผลไม้เมื่อนำมาผสมกับและ
                       เรียงลำดับค่าจากมากไปหาน้อย
             2.  ได้ทราบถึงความสามารถในการขจัดคราบสกปรกของน้ำผลไม้ที่ผสมกันแล้วเติมเกลือละลายน้ำลง
                       ไปว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการทำความสะอาดได้จริง
             3.   ได้ทราบถึงความสามรถในการการกัดกร่อนของน้ำผลไม้ที่ผสมกับแล้วนำเกลือละลายน้ำมาผสมว่า มีฤทธิ์กัดกร่อนจนสามารถขจัดสกปรกได้
                        
        ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
         1. ศึกษาหาระดับค่าความเป็นกรด ของน้ำผลไม้ที่นำมาผสมกัน
        2. ศึกษาหาความสามารถในการกัดกร่อนของน้ำผลไม้ที่ผสมกัน แล้วเติมเกลือ
           ละลายน้ำลงไปและความสามารถในการขจัดคราบสกปรกบนเหรียญ
    
         สมมุติฐานของการศึกษา
              ตอนที่1 วัตถุดิบที่นำมาทดลอง มื่อนำมาผสมกันจะทำให้ระดับค่าความเป็นกรดเปลี่ยนไป
              ตอนที่2 ระดับค่าความเป็นกรด เมื่อนำเกลือละลายน้ำมาผสมลงไปจะทำให้ความสามารถในการกัดกร่อนและขจัดคราบสกปรกได้ดียิ่งขึ้น
                             
        ตัวแปร
        ตัวแปรต้น
             ตอนที่1 น้ำมะนาว น้ำสับปะรด น้ำส้ม
         ตอนที่2 น้ำมะนาว น้ำสับปะรด น้ำส้ม เกลือละลายน้ำ
        ตัวแปรตาม
             ระดับค่า ph ที่วัดได้จากการทดลอง
        ตัวแปรควบคุม
             ตอนที่1 ปริมาณน้ำมะนาว ปริมาณน้ำสับปะรด ปริมาณน้ำส้ม
             ตอนที่2 ปริมาณน้ำมะนาว ปริมาณน้ำสับปะรด ปริมาณน้ำส้ม ปริมาณเกลือละลายน้ำ

บทที่ 2 
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ส้ม
 


การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร    Plantae
ส่วน       Magnoliophyta
ชั้น          Magnoliopsida
ชั้นย่อย  Rosidae
อันดับ    Sapindales
วงศ์         Rutaceae
สกุล        Citrus

                ส้ม เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กหลายชนิดในสกุล Citrus วงศ์ Rutaceae มีด้วยกันนับร้อยชนิด เติบโตกระจายอยู่ทั่วโลก โดยมากจะมีน้ำมันหอมระเหยในใบ ดอก และผล และมีกลิ่นฉุน หากนำใบขึ้นส่องกับแสงแดด จะเห็นจุดเล็กๆ เต็มไปหมด ซึ่งจุดเหล่านั้นก็คือแหล่งน้ำมันนั่นเอง ส้มหลายชนิดรับประทานได้ ผลมีรสเปรี้ยวหรือหวาน มักจะมีแคลเซียม โปแทสเซียม ไวตามินเอ และไวตามินซี มากเป็นพิเศษ ถ้าผลไม้จำพวกนี้มี มะ อยู่หน้า ต้องตัดคำ ส้ม ออก เช่น ส้มมะนาว ส้มมะกรูด เป็น มะนาว มะกรูด

มะนาว 
 

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร Plantae
ส่วน       Magnoliophyta
ชั้น          Magnoliopsida
อันดับ    Sapindales
วงศ์         Rutaceae
สกุล        Citrus
สปีชีส์    C. aurantifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์    Citrus aurantifolia Swing.

           มะนาว (อังกฤษ: lime) เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง ผลมีรสเปรี้ยวจัด จัดอยู่ในสกุล ส้ม (Citrus) ผลสีเขียว เมื่อสุกจัดจะเป็นสีเหลือง เปลือกบาง ภายในมีเนื้อแบ่งกลีบๆ ชุ่มน้ำมาก นับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส นอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ด้วย

สับปะรด
 
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร                  Plantae
ส่วน พืชดอก            Magnoliophyta
ส่วนไม่จัดอันดับ      Angiosperms
ชั้นไม่จัดอันดับ         Monocots
ชั้น พืชใบเลี้ยงเดี่ยว   Liliopsida
อันดับไม่จัดอันดับ    Commelinids
อันดับ                       Poales
วงศ์                            Bromeliaceae
วงศ์ย่อย                      Bromelioideae
                   สับปะรด (ชื่อทางวิทยาศาตร์: Ananas comosus) เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ลำต้นมีขนาดสูงประมาณ 80-100 เซนติเมตร การปลูกก็สามารถปลูกได้ง่ายโดยการใช้หน่อหรือที่เป็นส่วนยอดของผลที่เรียก ว่า จุก มาฝังกลบดินไว้ และออกเป็นผล เปลือกของผลสับปะรดภายนอกมีลักษณะคล้ายตาล้อมรอบผล

บทที่ 3
วิธีดำเนินการโครงงาน

       อุปกรณ์และวีธีการทดลอง
              1.  วัสดุ
                    1.1  น้ำมะนาว
                    1.2  น้ำสับปะรด
                    1.3  น้ำส้ม
                    1.4   เกลือละลายน้ำ
                    1.5  เหรียญหนึ่งบาท  3  แหรียญ

             2.  อุปกรณ์
                  2.1  มีด
                  2.2   แก้วขนาดกลาง  3  ใบ
                  2.3   ชามใบเล็ก  2  ใบ
                  2.4   ช้อน  2  คัน
                  2.5   เขียง
                  2.6  กระดาษลิตมัส
      ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงาน
              1.  ขั้นตอนการเตรียมวัสดุ
                    1.1  นำมะนาว  สับปะรดและส้มมาคั้นให้ได้น้ำและกรองเอาตะกอนทิ้ง
                    1.2   นำเกลือมาละลายน้ำละอาดทิ้งไว้ประมาณ  5  นาที

       ขั้นตอนการทดลอง
              ตอนที่  1  ศึกษาระดับค่าความเป็นกรดของน้ำผลไม้เมื่อนำมาผสมและเรียงลำดับจากค่า
                              มากไปหาค่าน้อย
                              1.1  นำมะนาว  ส้ม  สับปะรด  มาคั้นให้ได้น้ำ
                              1.2 เมื่อได้น้ำผลไม้ทั้ง 3 ชนิด แล้วให้นำมาผสมกันตามสัดส่วนดังนี้
                                    1.2.1 นำน้ำสับปะรดไปผสมกับน้ำมะนาว ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะเท่ากัน
                                    1.2.2 นำน้ำส้มไปผสมกับน้ำมะนาว ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะเท่ากัน
                                    1.2.3 นำน้ำส้มไปผสมกับน้ำสับปะรด ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะเท่ากัน
                         1.3 เมื่อนำไปผสมตามสัดส่วนแล้ว คนให้เข้ากันแล้วทดสอบหาระดับค่าความเป็นกรดด้วยกระดาษลิตมัส
                        1.4 บันทึกผลการทดลองที่ได้ โดยการเรียงลำดับระดับค่าความเป็นกรด จากค่ามากไปหาค่าน้อย
                             
            ตอนที่ 2 ศึกษาหาความสามารถในการกัดกร่อนและขจัดคราบสกปรกบนเหรียญ เมื่อนำเกลือละลายน้ำผสมลงไป                                            
                       2.1 ให้นำเกลือละลายน้ำที่ได้ไปผสมกับน้ำผลไม้ในตอนที่1 ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
                      2.2 คนให้เข้ากัน แล้วนำเหรียญที่มีคราบสกปรกใส่ลงไปในน้ำผลไม้ที่ผสมเกลือละลายน้ำไว้
                      2.3 ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
                     2.4 นำเหรียญออกมาล้างน้ำสะอาด เช็ดให้แห้งนำมาเปรียบเทียบกัน แล้วบันทึกผลการ ทดลองที่เกิดขึ้น

บทที่ 4 
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล/ผลการจัดทำโครงงาน

ผลการทดลอง
    ตอนที่ 1   ระดับค่าความเป็นกรดของน้ำผลไม้เมือนำมาผสมกันเรียงลำดับจากค่ามากไปหาค่าน้อยเป็นนดังนี้
                        

น้ำผลไม้ที่นำมาผสมกันระดับค่า pH ที่ได้

1.  น้ำมะนาว  +  น้ำสับปะรด
 2.  น้ำมะนาว  +  น้ำส้ม
 
 3.  น้ำส้ม   +  น้ำสับปะรด
 



3.0







4.0


 4.5


 ตอนที่  2  ความสามารถในการกัดกร่อนและขจัดคราบสกปรกบนเหรียญเมื่อนำน้ำน้ำเกลือละลายน้ำผสมลงไป
           
 
แก้วที่  1  น้ำส้ม  +  น้ำมะนาว
แก้วที่ 2 น้ำมะนาว +  น้ำสับปะรด
 แก้วที่ 3  น้ำส้ม   +  น้ำสับปะรด
เหรียญหนึ่งบาทที่สกปรกจำนวน  3  เหรียญ

 
เหรียญที่มีสกปรกใส่ในแก้วน้ำผลไม้ผสมเกลือละลายน้ำ

 
เหรียญที่ผ่านการแช่น้ำผลไม้ผสมเกลือละลายน้ำ  30  นาที 

บทที่ 5
สรุปผลและอภิปรายผลการดำนินการจัดทำโครงงาน

            จากผลการทดลองสรุปได้ดังนี้              

             1.  เมื่อนำน้ำส้มผสมกับน้ำมะนาวจะได้ค่า  pH เท่ากับ  4.0
             2.  เมื่อนำน้ำมะนาวผสมกับน้ำสับปะรดจะได้ค่า  pH  เท่ากับ  3.0
             3.  เมื่อนำน้ำสมผสมกับน้ำสับปะรดจะได้ค่า  pH  เท่ากับ  4.5
          
           แสดงว่ามื่อนำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำสับปะรดจะพบว่าค่าความเป็นกรดสูงกว่า  น้ำมะนาวผสมกับน้ำส้ม และน้ำส้มผสมกับน้ำสับปะรด  นอกจากนี้เรายังพบว่าเมื่อนำน้ำผลไม้ที่ได้จากการผสมกันดังกล่าวทั้ง 3 ชนิด มาเติมเกลือละลายน้ำลงไปแล้วนำเหรียญที่มีคราบสกปรกใส่ลงไปตั้งเวลาไว้ประมาณ  30  นาที  ภายหลัง  30  นาที  นำเหรียญออกมาล้างน้ำสะอาดพบว่าเหรียญที่อยู่ในน้ำผสมไม้ที่มีค่า pH สูงที่สุดมี่ความสะอาดมากที่สุด  เพราะกรดที่เข้มข้นจะมีฤทธิ์การกัดกร่อนมากที่สุดตามลำดับความเข้มข้นของกรด

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการทดลอง
      1.  สามารถนำน้ำผลไม้มาทำความสะอาดเหรียญที่มีคราบสกปรกได้
       2.  สามารถทราบถึงฤทธิ์ของกรดที่กัดกร่อนคราบสกปรกบนเหรียญได้
       3.  สามารถทราบว่าน้ำผลไม้ชนิดใดมีค่าความเป็นกรดมากและมีฤทธิ์การกัดกร่อนไดดีที่สุด

ข้อเสนอแนะ
      1.  เราอาจนำน้ำผลไม้ชนิดอื่นที่มีฤทธิ์เป็นกรดที่หาได้ง่ายตามครัวเรือนของคุณ  
      2.  เราอาจนำการทดลองนี้ไปทดลองกับสิ่งอื่นๆที่มีคราบสกปรกติดอยู่  เช่น  สร้อยคอ  แหวน พวงกุญแจ

ดอกเบญจมาศไล่ยุง

โครงงานทดลองทางวิทยาศาสตร์
                                                        เรื่อง  ดอกเบญจมาศไล่ยุง


วัตถุประสงค์

 
                1.  เพื่อคิดค้นสูตรยากำจัดยุงจากดอกเบญจมาศ
                2.  เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของยากำจัดยุงจากดอกเบญจมาศ

 

ความสำคัญของโครงงาน
ยากำจัดยุงที่เราได้วิจัยและทำขึ้นนั้น จะมีการเน้นในเรื่องของการกำจัดยุงมากกว่าลูกน้าเพื่อต้องการตัดวงจรชีวิตระยะตัวโตเต็มวัยซึ่งอยู่ในระยะที่กำลังสืบพันธ์และเป็นพาหะของโรคต่าง ๆ

 

สมมติฐาน
              1.  ได้สูตรยากำจัดยุงจากดอกเบญจมาศ
                2.    ยากำจัดยุงจากดอกเบญจมาศที่ทำขึ้นมีประสิทธิภาพสามารถกำจัดยุงได้

 

นิยามศัพท์เฉพาะ
              ดอกเบญจมาศ  ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendranthemum grandifflora (เดิมชื่อ Chysanthemum morifolium) วงศ์ : Asteraceae(เดิมวงศ์ Compositae)
              พัยรีธริน (Pyrethrins)  เป็นสารที่อยู่ในดอกเบญจมาศ
              ยุง (MOSQUITOES)  หมายถึง  ยุงลาย ( Aedes ) ยุงรำคาญ ( Culex ) ยุงก้นปล่อง ( Anopheles )
ยุงเสือหรือยุงลายเสือ ( Mansonia ) และ ยุงยักษ์หรือยุงช้าง ( Toxorhynchites )

 

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ประโยชน์จากการทำโครงงานเชิงทฤษฎี
1.     จำนวนยุงลดน้อยลง
2.     สามารถลดอัตราการเกิดโรคต่าง ๆ ที่มียุงเป็นพาหะแก่ประชากรในชุมชนได้
3.     ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อสารเคมีเพื่อกำจัดยุงลาย
4.     เป็นการพัฒนาทักษะความคิดและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ประโยชน์จากการทำโครงงานเชิงประยุกต์
               สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับคนในชุมชน เพื่อนำไปพัฒนาใช้เองได้

 

ขอบเขตการศึกษา
                1. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
                                1.1  ตัวแปรต้น     
                                  -   ยากำจัดยุงที่ทำจากดอกเบญจมาศ

                                1.2  ตัวแปรตาม
                         -    จำนวนยุงที่ตาย
                2.  กลุ่มการทดลอง
                                ยุงที่พบในแหล่งน้ำ ภายในโรงเรียนอนุบาลโรจนวิทย์มาลาเบี่ยง
                3.  ระยะเวลาในการดำเนินงาน
                                กันยายน   2553 – ตุลาคม   2553
                4.  สถานที่ในการดำเนินการ
                                อาคารเรียน และบริเวณต่าง ๆ โรงเรียนอนุบาลโรจนวิทย์มาลาเบี่ยง  และชุมชน
ที่กลุ่มผู้ทดลองอาศัยอยู่

สรุปผลการทดลอง
                1. ยาฆ่ายุงที่ทำจากดอกเบญจมาศสามารถฆ่ายุงได้
                2. ประสิทธิภาพของยาฆ่ายุงจากการทดสอบปรากฏว่ามีประสิทธิภาพจริง

การอภิปรายผลการทดลอง
                จากการศึกษาวงจรชีวิตของยุงลายพบว่า ยุงลายมีวงจรชีวิต 4 ระยะ คือ ระยะไข่ ระยะลูกน้ำ ระยะตัวโม่ง และระยะตัวเต็มวัยซึ่งยุงประเภทนี้จะวางไข่ในน้ำสะอาด และเป็นน้ำที่มีลักษณะเป็นน้ำนิ่ง ซึ่งจากการทดลองโดยนำดอกเบญจมาศมาสกัดด้วยน้ำมันก๊าดหรือเอทิลแอลกอฮอล์  พบว่ายาฆ่ายุงที่สกัดได้สามารถฆ่ายุงได้จริง  เนื่องจากในดอกเบญจมาศจะมีสารชื่อ  พัยรีธริน (Pyrethrins)  ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าแมลง
จากปัจจัยดังกล่าว เมื่อยุงลายถูกสาร พัยรีธริน (Pyrethrins)  แล้วสารดังกล่าวจะเข้าไปทำลายระบบต่าง ๆ        ภายในร่างกายของยุง โดยเฉพาะระบบการหายใจ  จึงทำให้ยุงตาย

 
ข้อเสนอแนะจากการศึกษา
1.     ในการใช้ยาฆ่ายุงที่ทำจากดอกเบญจมาศไปฉีดพ่นจะใช้ในปริมาณที่มาก  และ
การเพาะเลี้ยงยุงที่จะนำมาทดลองต้องอาศัยเวลา
           2.   สารละลายที่ใช้ในการสกัดควรใช้แอลกอฮอล์ซึ่งจะดีกว่าน้ำมันก๊าดตรงที่ไม่มีกลิ่นฉุน

 

ข้อเสนอแนะในการทำการทดลองครั้งต่อไป
                    1.  ควรเปรียบเทียบสารที่ใช้สกัดว่าระหว่างน้ำมันก๊าดกับแอลกอฮอล์ว่าชนิดไหนมีประสิทธิภาพในการสกัดสารจากดอกเบญจมาศได้ดีกว่า
                    2.  ควรเปรียบเทียบดอกเบญจมาศสีต่างกันว่าดอกเบญจมาศสีใดมีประสิทธิภาพในการฆ่ายุงได้ดีกว่ากัน

 
คณะผู้จัดทำ
                      1. เด็กชายธนพัฒน์    แตงอ่ำ
                      2. เด็กชายเสฏฐวุฒิ   พูลหน่าย
                      3.  เด็กชายมลฑล       ทองทวี

ความลับของน้ำซาวข้าว

น้ำซาวข้าว
 โครงงานวิทยาศาสตร์   ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย   ประเภทชีวภาพ

เรื่อง ความลับของน้ำซาวข้าว

          คณะผู้จัดทำ
     1. นางสาวกรองทอง  ใจแก้วแดง
     2. นางสาวน้ำหวาน     พยอม
     3. นางสาวภรณ์ทิพย์   ฮาวกันทะ
          อาจารย์ที่ปรึกษา   ม. สนธยา  ใจมั่น
          อาจารย์ที่ปรึกษาพิเศษ  คุณครู ชนัญญา  ใจมั่น

                                            โรงเรียนอรุโณทัย
               294 ถนนฉัตรไชย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง 52100
                 โทรศัพท์  054-217698  โทรสาร  054-318620

บทคัดย่อ

          การทดลองนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของเกลือละลายน้ำซาวข้าว กับเกลือละลายน้ำ โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2ตอนดังนี้ คือเพื่อศึกษาเปรียบเทียบการดอง ด้วยเกลือละลายน้ำกับเกลือละลายน้ำซาวข้าว โดยเปลี่ยนวัตถุดิบ ซึ่งทำการทดลองอยู่ 3 ครั้ง เพื่อความแน่นอนในผลการทดลอง และในตอนที่ 2 ได้ทดลองเพื่อทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของเกลือที่แตกต่างกันใน การดอง ด้วยเกลือละลายน้ำซาวข้วกับเกลือละลายน้ำ โดยใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกัน
          ผลจากการทดลองในตอนที่ 1 พบว่าการดองวัตถุดิบในน้ำซาวข้าว คือ ผักกาดแก้ว , แตงกวา , ฝรั่ง มีความเป็นกรดมากกว่าน้ำเกลือ
          ผลการทดลองในตอนที่ 2 ได้ใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกันคือ ฝรั่ง ดองในเกลือละลายน้ำซาวข้าวกับเกลือละลายน้สะอาด โดยใช้ปริมาณเกลือที่แตกต่างกันดังนี้ คือ 75 กรัม 65 กรัม 55กรัม 45 กรัม 35 กรัม 25 กรัม 15 กรัม 5 กรัม และ 0 กรัม พบว่าในการดองที่ใช้เกลือในปริมาณ 45-35 กรัม จะให้ความเป็นกรดได้ดีกว่าเกลือปริมาณอื่น ๆ ซึ่งความเป็นกรดนี้จะช่วยให้วัตถุดิบนั้นมีรสชาดเปรี้ยว และไม่เกิดการเน่าของวัตถุดิบและการใช้เกลือในปริมาณนี้ ช่วยให้น้ำซาวข้าวไม่มีกลิ่นเหม็น

 ที่มาและความสำคัญของโครงงาน

          ประชากรในภาคเหนือส่วนใหญ่นิยมบริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก ก่อนที่จะนำข้าวไปทำให้สุกได้ จะต้องนำข้าวที่แช่ไว้มารินน้ำออกก่อน ซึ่งคนส่วนใหญ่เรียกขั้นตอนนี้ว่า "การซาวข้าว" และน้ำที่ได้จากการซาวข้าวเรียกว่า "น้ำซาวข้าว" และเมื่อได้น้ำซาวข้าวมาก็จะนำมาใช้ประโยชน์ในการรดน้ำต้นไม้ การล้างผักเพื่อช่วยลดสารเคมีที่ตกค้างในผัก ตลอดจนการหมักดองที่ช่วยในการรักษาสภาพของวัตถุดิบและทำให้วัตถุดิบมีรส เปรี้ยวและจากการที่ได้เห็นการดองฝรั่งของคนในหมู่บ้านจะเติมน้ำซาวข้าวลงไป ในไหดองด้วยหลังจากที่ดองเสร็จก็พบว่า ฝรั่งที่ดองมีรสเปรี้ยวขึ้นมาก ข้าพเจ้าจึงนำมาคุยและปรึกษากับเพื่อนในกลุ่มว่า การใส่น้ำซาวข้าวมีผลทำให้ฝรั่งมีรสเปรี้ยวจริงหรือไม่  แล้วจะต้องใช้ปริมาณเกลือเท่าใดจึงจะให้การดองด้วยน้ำซาวข้าวเกิดผลดีที่สุด จากข้อสงสัยต่างๆ เหล่านี้ กลุ่มของข้าพเจ้าจึงได้คิดค้นการทำโครงงานนี้ขึ้นมา

 ขอบเขตของการทำการศึกษาค้นคว้า

          1. ศึกษาเปรียบเทียบค่าความเป็นกรด-เบส ในการดองระหว่างเกลือละลายน้ำซาวข้าวและเกลือละลายน้ำ
          2. ศึกษาความสามารถในการดองโดยใช้เกลือในปริมาณต่าง ๆ ดังนี้ 0กรัม , 5 กรัม , 15 กรัม ,25 กรัม , 35 กรัม ,45 กรัม ,55 กรัม , 65 กรัม และ 75 กรัม ตามลำดับ
          3. ศึกษาการดองโดยใช้วัตถุดิบใน คือ ผักกาดแก้ว แตงกวา ฝรั่ง

 สมมุติฐานของการศึกษา

          ตอนที่ 1 วัตถุดิบทุกชนิดที่ดองด้วยน้ำซาวข้าวทิ้งไว้จะให้รสชาดเปรี้ยวกว่าน้ำเกลือ
          ตอนที่ 2 ปริมาณของเกลือที่ใช้ในการดอง  ถ้าเกลือลดลงจะมีผลทำให้วัตถุดิบที่ดองมีความเป็นกลางมากขึ้น

 ตัวแปร

          ตัวแปรต้น

     ตอนที่ 1 : ฝรั่ง แตงกวา ผักกาดแก้ว
     ตอนที่ 2 : เกลือในปริมาณต่าง ๆ ดังนี้ 75 กรัม 65 กรัม 55 กรัม 45 กรัม 35 กรัม 25 กรัม 15 กรัม 5 กรัม และ 0 กรัมตามลำดับ
          ตัวแปรตาม  ค่า pH (ความเป็นกรด-เบส) ที่วัดได้ในแต่ละครั้ง

          ตัวแปรควบคุม

     ตอนที่1 : ปริมาณเกลือ ปริมาณน้ำซาวข้าว และปริมาณน้ำสะอาด
     ตอนที่ 2 : วัตถุดิบที่ใช้คือ ฝรั่ง ปริมาณน้ำซาวข้าว และปริมาณน้ำสะอาด

อุปกรณ์และวิธีการทดลอง

     1. วัสดุ
          1.1 น้ำสะอาด        1.2 ฝรั่ง                   1.3 น้ำซาวข้าว
          1.4 เกลือ              1.5 ผักกาดแก้ว        1.6 แตงกวา
     2. อุปกรณ์
          อุปกรณ์เตรียมวัสดุ 1. ตะกร้า     2. มีด
          อุปกรณ์ในการดอง  1.ขวดโหล        2  ใบ
                                       2. บีกเกอร์ ขนาด 600 มิลลิลิตร     2 ใบ
                                       3. แท่งแก้วคนสาร
                                       4. ตาชั่ง
                                       5. ช้อนตักสาร
     3. อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ
          1. เครื่องวัดค่า pH
          2. บีกเกอร์ ขนาด 50 มิลลิลิตร
     4. วิธีการทดลอง
          1. ขั้นตอนการเตรียมวัสดุ
               1.1 นำผักกาดแก้ว แตงกวา ฝรั่ง มาล้างให้สะอาด
               1.2 นำผักกาดแก้ว แตงกวา ฝรั่ง ที่ล้างแล้วมาสะเด็ดน้ำให้แห้ง
               1.3 นำผักกาดแก้ว แตงกวา ฝรั่ง มาชั่งเตรียมไว้เป็นส่วน ๆ ละ0.5 กิโลกรัม สังเกตวลักษณะของ ผักกาดแก้ว แตงกวา และฝรั่ง
          2. ขั้นตอนการดอง แบ่งเป็น 2 ตอนดังนี้
               ตอนที่ 1 ศึกษาเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่าเกลือละลายในน้ำสะอาด กับน้ำซาวข้าวโดยเปลี่ยนวัตถุดิบ
               1. นำผักกาดแก้ว แตงกวา และฝรั่ง 0.5 กิโลกรัม จัดเรียงในขวดโหล ซึ่งใบที่ 1 และ 2 คือผักกาดแก้ว ใบที่ 3 และ 4 คือแตงกวา ใบที่ 5 และ 6 คือฝรั่ง
                2. นำน้ำซาวข้าวมาละลายเกลือ 75 กรัม
                3. เทน้ำซาวข้าวในขั้นที่ 2 ลงในขวดโหลใบที่ 1, 3, 5 แล้วปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 1 สัปดาห์ สังเกตพร้อมบันทึกผลทุกวัน
                4. นำน้ำสะอาดมาละลายเกลือ 75 กรัม
                5. เทน้ำสะอาดในขั้นที่ 4 ลงในขวดโหลใบที่ 2 , 4 , 6 แล้วปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 1 สัปดาห์ สังเกตพร้อมบันทึกผลทุกวัน
                6. เมื่อครบ 1 สัปดาห์ นำน้ำดองของขวดโหลแต่ละใบ มาวัดค่า pH ด้วยเครื่องวัด pH แล้วบันทึกผล
                7. สังเกตผลที่ได้แล้ววัดค่า pH ของน้ำดองในขวดโหลแต่ละใบมาบันทึกผลเปรียบเทียบ
                ตอนที่ 2 ศึกษาความเป็นกรด-เบส โดยเปลี่ยนปริมาณเกลือครั้งละ 10 กรัม โดยใช้ฝรั่งเป็นตัวควบคุม
                1. น้ำซาวข้าว 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ละลายเกลือ 65 กรัม เตรียมไว้
                2. น้ำสะอาด 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ละลายเกลือ 65 กรัม เตรียมไว้
                3. นำฝรั่งที่จัดเตรียมไว้ 0.5 กิโลกรัม จัดเรียงในขวดโหลใบที่ 1
                4. นำฝรั่งที่จัดเตรียมไว้ 0.5 กิโลกรัม จัดเรียงในขวดโหลใบที่ 2
                5. นำน้ำซาวข้าวที่ละลายเกลือเตรียมไว้มาเทลงในขวดโหลใบที่ 1  ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ สังเกตพร้อมบันทึกทุกวัน
                6. นำน้ำสะอาดที่ละลายเกลือเตรียมไว้ในขั้นที่ 1 มาเทลงในขวดโหลใบที่ 2 ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 1 สัปดาห์ สังเกตพร้อมบันทึกทุกวัน
                7. เมื่อครบ 1 สัปดาห์ นำน้ำดองของขวดโหลแต่ละใบ มาวัดค่า pH แล้วบันทึกผล
                8. สังเกตผลที่ได้ แล้วนำค่า pH ของน้ำดองในขวดโหลทั้ง 2 ใบ มาเปรียบเทียบผล แล้วบันทึกผล
                9. ทำตามวิธีการจากข้อ 1-9 แต่ลดปริมาณเกลือครั้งละ 10 กรัม จนไม่ใช้เกลือเลยในการดองครั้งสุดท้าย
               10. นำผลที่ได้ในแต่ละครั้งมาเปรียบเทียบค่า pH เพื่อทดส่อบความเป็นกรด-เบส

 สรุปผลการทดลอง

          จากผลการทดลอง จะสรุปได้ว่า การดองด้วยเกลือละลายบน้ำซาวข้าว จะได้รสชาดเปรี้ยวกว่าการดองด้วยเกลือละลายน้สะอาด โดยไม่ต้องใส่สารเพิ่มรสชาติความเปรี้ยวลงไปในขณะดองอีก ซึ่งแม้เราจะเปลี่ยนวัตถุดิบ จากผักกาดแก้ว เป็น แตงกวาและฝรั่ง ผลที่ได้ น้ำซาวข้าวก็ยังให้ความเปรี้ยวกว่าน้ำสะอาดเสมอ และปริมาณเกลือที่เหมาะสมในการใช้ดองด้วยน้ำซาวข้าวให้เกิดรสชาติเปรี้ยวได้ ดีและเหมาะสมที่สุดในวัตถุดิบชนิดเดียวกันก็คือ ปริมาณเกลือ 45-35 กรัม โดยจะให้ค่าความเป็นกรดอยู่ที่ 3.70-3.76 ppm ถือว่าเป็นความเปรี้ยวที่เหมาะสม ซึ่งไม่เปรี้ยวเกินไปหรือจืดเกินไปที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากการหมักดองจะมี เชื้อแบคทีเรียอยู่ซึ่งถ้าหากเราใส่เกลือมากเกินไปก็จะทำให้แบคทีเรียตายได้ แต่หากเกลือน้อยไปก็จะทำให้แบคทีเรียเหี่ยวดูไม่น่าทานหรืออาจติดเชื้อราได้ ดังนั้นเราจึงต้องหาปริมาณของเกลือที่เหมาะสมต่อการดอง
           นอกจากนี้การดองด้วยเกลือละลายน้ำซาวข้าวยังสามารถรักษาสภาพของวัตถุดิบให้ ดูเต่งตึงไม่เหี่ยวไม่ช้ำเหมือนการดองด้วยเกลือละลายน้ำสะอาดและไม่นิ่มหรือ แข็งจนเกินไป

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

          1.สามารถนำไปแก้ไขปัญหาการพบสารเคมีในของดองในชีวิตประจำวันได้
          2. สามารถนำภูมิปัญญาชาวบ้านมาเผยแพร่ให้ผู้คนได้รู้และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

ข้อเสนอแนะ

          1. เราอาจนำการทดลองนี้ไปใช้กับข้าวพันธ์อื่น ๆ ได้ตามสายพันธุ์ที่มีอยู่ในบ้านของคุณ
          2. เราอาจนำการทดลองนี้ไปใช้ในวัตถุดิบชนิดอื่น ๆ ได้ เช่น ดองกระท้อน ดองมะม่วง

####################################################
  (ขอบคุณข้อมูลจาก โรงเรียนอรุโณทัย จังหวัดลำปาง โครงงานวิทยศาสตร์   เรื่องความลับของน้ำซาวข้าว)
http://nawapat.is.in.th/?md=content&ma=show&id=47

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เกงป่าว


  1. #include <stdio.h>
    #include <conio.h>
    void main ()
    {
    float a01,a02,a03,a04;
    printf("\tenter price of sanwich,\n");
    scanf("%f",&a01);
    printf("\tenter price of sanwich tuna,\n");
    scanf("%f",&a02);
    printf("\tenter price of pisa,\n");
    ... scanf("%f",&a03);
    printf("\tenter price of unif,\n");
    scanf("%f",&a04);
    clrscr();
    printf("\t cp all, kakakaka(8072)\n");
    printf("\ttax#3101578522(vat include)vat 06155\n");
    printf("\t pos# :eo520301700176\n");
    printf("\t receipt/tax invoice\n");
    printf("\t-----------------------------\n");
    printf("\tsanwich\t\t%.2f\tbath\n",a01);
    printf("\tsanwichtuna\t%.2f\tbath\n",a02);
    printf("\tpisa\t\t%.2f\tbath\n",a03);
    printf("\tunif\t\t%.2f\tbath\n",a04);
    printf("\ttotal\t\t%.f\tbath",a01+a02+a03+a04);
    getch ();
    }
    โปรแกรมคิดบิล
    ดูเพิ่มเติม

การกำเนิดโลกและมนุษย์

ในเรื่องการกำเนิดขึ้นของจักรวาล โลก และมนุษย์นั้น คิดว่าหลายท่านคงจะเคยได้ทราบหรือเคยศึกษามาบ้างแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะมีผู้ที่สนใจในเรื่องนี้อยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจใคร่รู้ของมนุษย์มานับตั้งแต่ยุคโบราณ มนุษย์ต่างตั้งข้อสงสัยและพยายามแสวงหาคำตอบ เพื่อให้ทราบว่า จุดเริ่มต้นของสรรพสิ่งคืออะไร โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร ตัวเรามาจากไหน ใครเป็นมนุษย์คนแรก จนกระทั่ง บัดนี้มนุษย์ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงความเป็นจริงของคำตอบต่าง ๆ ที่ตนสงสัยมาช้านาน

ความเชื่อเรื่องกำเนิดโลก

มีหลายคำสอนในหลายศาสนาที่เป็นศาสนาประเภท เทวนิยม ไม่ว่าจะเป็นศาสนาของชาวอียิปต์โบราณ ชาวสุเมเรียน และชาวบาบิโลนเมื่อกว่า ๕๐๐๐ ปีก่อน เรื่อยมากระทั่ง พราหมณ์ คริสต์ อิสลาม หรือแม้แต่ ศาสนาชินโตของชาวญี่ปุ่น ต่างก็มีคำสอนว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเทพเจ้าหรือพระเจ้าในศาสนาของตนเป็นผู้บันดาลให้เกิดขึ้นหรือสร้างขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว โลก มนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นผลงานของพระเจ้าทั้งสิ้น โดยแต่ละศาสนาก็มีบันทึกเรื่องราวที่พระเจ้าในศาสนาของตนสร้างสิ่งต่าง ๆ ไว้ในคัมภีร์ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไป

จนกระทั่งปัจจุบัน แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตมาก มีเทคโนโลยีและวิทยาการต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เรียกว่าแทบจะทุกชั่วโมงเลยก็ว่าได้ และมนุษย์ก็ได้ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นอุปกรณ์ในการค้นหาคำตอบ เพื่อพิสูจน์ความจริง จะเป็นเพราะด้วยไม่เห็นด้วยกับคำสอนที่ตนเคยได้ยินหรือได้รับการถ่ายทอดมา หรือว่าจะเป็นเพราะต้องการที่จะหาข้อพิสูจน์มายืนยันความเชื่อทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ทราบได้ แล้วก็ตั้งข้อสันนิษฐานไปต่าง ๆ นา เป็นต้นว่า จักรวาล และโลก เกิดจากการระเบิดตัวของวัตถุที่มีมวลมหาศาลบ้าง มนุษย์เกิดมาจากลิงบ้าง โดยอาศัยสิ่งต่าง ๆ เป็นเครื่องสนับสนุนเพื่อต้องการให้ข้อคิดเห็นของตนนั้นน่าเชื่อถือ ดูมีเหตุมีผลเป็นหลักการ แต่แล้วก็มีผู้เสนอแนวคิดใหม่ ๆ มาหักล้างแนวคิดเดิม เป็นเช่นนี้อย่างไม่ มีที่สิ้นสุด

แต่แม้จะมีผู้พยายามเสนอทฤษฎีต่าง ๆ คนแล้วคนเล่ารวมทั้งพยายามพิสูจน์ด้วยวิธีการต่าง ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เราก็ยังไม่ทราบอยู่นั่นเองว่า สิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์สงสัยและโต้แยงกันมายาวนานไม่มีที่สิ้นสุดนี้ มีคำตอบที่ถูกต้องอย่างไร มีข้อสรุปที่ชัดเจนเช่นไร ในเมื่อเราต่างก็กำลังแสวงหาคำตอบด้วยกันทุกท่าน ก็อยากจะเสนอแนวคิดเรื่องการกำเนิดขึ้นของจักรวาล โลก มนุษย์ และสรรพสิ่ง อีกทัศนะหนึ่งให้ศึกษาพิจารณาดู โดยแนวคิดนี้เป็นคำสอนที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์ของชาวพุทธ และเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงมากว่า ๒๕๐๐ ปี ก่อน

ปฐมเหตุที่ทรงแสดง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงเรื่องการกำเนิดจักรวาล โลก มนุษย์ และสิ่งต่าง ๆ ไว้ใน อัคคัญญสูตร พระไตรปิฎกและอรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม 15 หน้า 146 พระสูตรนี้ได้กล่าวถึงการบังเกิดขึ้นจักรวาล โลก มนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านี้

อัคคัญญสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนี้ มิได้มีจุดมุ่งหมายที่จะกล่าวถึงการกำเนิดของโลก และมนุษย์ ตลอดจนสรรพสิ่งโดยตรง เพียงแต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สามเณร ๒ รูป คือ วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณร เพื่อจะบอกเหตุอันเป็นความเชื่อในเรื่องของวรรณะที่พวกพราหมณ์ยึดถือต่อ ๆ กันมา เนื่องจากสามเณรทั้ง ๒ นั้นเกิดมาจากวรรณะของพราหมณ์ ซึ่งในยุคสมัยนั้นถือกันว่า วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะสูง จะเป็นรองก็เพียงวรรณะกษัตริย์เท่านั้น

(ในอินเดียได้จัดคนออกเป็นวรรณะต่าง ๆ ๔ วรรณะ ประกอบด้วย กษัตริย์ พราหม์ แพศ ศูทร กษัตริย์ และพราหมณ์จัดว่าเป็นวรรณะสูง แพศ เป็นวรรณะกลาง ส่วนศูทรเป็นวรรณะต่ำ ทั้ง ๔ วรรณะนี้จะดูถูกเหยียดหยามกัน จะไม่มีการคลุกคลีกันข้ามวรรณะ ถ้าหากว่ามีชายหญิงใดมีความสัมพันธ์กันจนมีทารกออกมา ทารกนั้นจะเป็นที่รังเกียจของคนทั้งหลายและถูกเรียกว่า จัณฑาล วรรณะทั้ง ๔ นี้)

แต่ทั้ง ๒ กลับเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาที่พวกพราหมณ์เรียกว่าเป็นสมณะโล้น จัดเป็นวรรณะที่เลวทราม เกิดจากเท้าของพรหม

พระศาสดาเมื่อทรงสดับเช่นนั้น จึงทรงชี้ให้เห็นถึงที่มาที่ไปแห่งการที่เกิดชื่อเรียกของวรรณะต่าง ๆ ขึ้นเพื่อให้สามเณรทั้ง ๒ นั้นทราบ โดยทรงหยิบยกเอาเรื่องตั้งแต่การที่จักรวาลยังกลายเป็นน้ำเรื่อยมา จนเกิดมีการสมมติชื่อของวรรณะต่าง ๆ ขึ้น แล้วทรงสรุปว่า การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะประเสริฐหรือเลวทราม ก็ด้วยการกำหนดจากธรรมและอธรรมที่เขาประพฤติเท่านั้น หาได้กำหนดจากสิ่งอื่นไม่ ถึงอย่างไรก็ตามแม้พระสูตรจะมิได้มุ่งหมายที่จะกล่าวถึงการบังเกิดขึ้นของโลก มนุษย์ และสรรพสิ่งโดยตรง แต่เนื้อหาของพระสูตรก็ทำให้เราทราบว่ามนุษย์ ตลอดจนสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่เราต่างก็สงสัยและโต้เถียงกันมายาวนานนั้น มีจุดกำเนิดหรือที่มาอย่างไร

กำเนิดจักรวาล โลก มนุษย์ และสรรพสิ่ง

การกำเนิดขึ้นของ จักรวาล โลก หรือมนุษย์ ตลอดจนสรรพสิ่งทั้งปวงนี้ เป็นคำสอนหรือความรู้ในพระพุทธศาสนาดังที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นอาจจะมีบางท่านที่เคยศึกษาแล้วอาจจะไม่เห็นด้วย หรือมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นในใจ ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งแปลกแต่อย่างใด ที่การที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะรู้สึกปฏิเสธหรือต่อต้านในสิ่งที่ผิดไปจากสิ่งที่ตนเคยรู้เคยได้ยินมา หรือแม้กระทั่งผิดไปจากสิ่งที่ตนเชื่อมั่นหรือคาดหวัง ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงทราบดีอยู่ว่าจะต้องมีผู้ที่ไม่เชื่อหรือไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ใช่อุปสรรคเลย

พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาที่บังคับให้ใคร ๆ เชื่อในคำสอน ไม่ได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะศรัทธาหรือไม่แต่อย่างใด แต่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้มีปัญญา เป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุและผล และสิ่งที่พระพุทธองค์แสดงนั้นเป็นเพราะทรงเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น และคำสอนที่แสดงนั้นก็ไม่ได้ให้ผู้ฟังเชื่อตาม แต่ทรงให้พิจารณาไตร่ตรองและให้พิสูจน์ว่าสิ่งที่พระองค์แสดงนั้นจริงเท็จอย่างไรด้วยตัวของผู้นั้นเอง ดังที่ได้แสดงแก่ชนทั้งหลายในการที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ที่บ้านกาลาม ในกาลามสูตรว่า

" ควรแล้วท่านจะสงสัย ความสงสัยของท่านเกิดขึ้นแล้วในเหตุควรสงสัยจริง ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินอย่างนี้ ๆ อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับลัทธิของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่า ผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ถือโดยความนับถือว่า สมณะผู้นี้เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศลธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อนั้น " จาก พระสูตรและอรรถกถาแปล เล่ม ๓๔ หน้า ๓๓๘.

ดังนั้น เนื้อหาในเรื่องกำเนิดโลกนี้ หากมีท่านใดท่านหนึ่งอาจจะคัดค้านไม่เห็นด้วยก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นทัศนะในพระพุทธศาสนาซึ่งไม่ปรารถนาจะให้ผู้อ่านเชื่อในทันทีเมื่อมาศึกษา แต่จะเป็นการดีถ้าได้พิสูจน์แล้วและเห็นตาม

การกำเนิดขึ้นของจักรวาล โลก และสรรพสิ่งนั้น เริ่มจากแต่เดิมนั้นก่อนที่สรรพสิ่งจะเกิดขึ้นนั้น ในท้องจักรวาลไม่มีสิ่งใด ๆ เลย มีเพียงอากาศที่เวิ้งว่างว่างเปล่า โล่งเตียนตลอด โดยที่ความว่างเปล่านี้เกิดจากการที่จักรวาลได้เสื่อมและถูกทำลายลง ด้วย ไฟ น้ำ และลม

เนื่องจากจักรวาลและโลกนั้นกำเนิดขึ้น และถูกทำลายลงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และยังจะต้องถูกทำลาย และก็จะเกิดขึ้นอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยที่ไม่สามารถจะระบุได้ว่า จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการเริ่มต้นและสิ้นสุดนี้คือเมื่อใด การกำเนิดของโลกและสรรพสิ่งที่กล่าวถึงในบทเรียนนี้ จึงเป็นช่วงหนึ่งของวัฏจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น โดยการกำเนิดที่กล่าวถึงในบทเรียนนี้ เป็นการกำเนิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่จักรวาลถูกทำลายด้วยไฟ ก่อนที่จะมาถึงกำเนิดขึ้นนี้

หลังจากที่จักรวาลเปล่าร้างปราศจากสิ่งใด ๆ เป็นเวลายาวนาน (นานจนไม่สามารถระบุระยะเวลาได้) ต่อมามีฝนตกลงมาในท้องจักรวาลที่มีเพียงอากาศนั้น น้ำฝนที่ตกลงมาในระยะแรก เป็นฝนที่มีขนาดเล็กมาก จากนั้นจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งขนาดเท่ากับลำของต้นตาล เนื่องจากฝนที่ตกขึ้นนี้ ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ปริมาณน้ำฝนจึงเพิ่มระดับสูงขึ้น จนกระทั่งท่วมเต็มทั่วทั้งท้องจักรวาล

การที่ฝนทรงตัวอยู่ได้นี้ เป็นเพราะมีลมมารองรับไว้เหมือนภาชนะ จึงทำให้น้ำไม่รั่วไหลกระจัดกระจาย แต่จะรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ด้วยคุณสมบัติของลมทำให้น้ำค่อย ๆ งวดยุบหดลดลงจากเบื้องบน ระดับน้ำได้ลดระดับลงมาเรื่อย ๆ เมื่อระดับน้ำลดลง ทำให้ที่ตั้งของภพต่าง ๆ ปรากฏขึ้น เริ่มตั้งแต่ พรหมชั้นต่าง ๆ เรื่อยลงมาจากชั้นบนสู่ชั้นล่าง จากนั้นสวรรค์ชั้น ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นหลังจากที่ระดับน้ำได้ลงไปจากที่ตั้งของภพสวรรค์ชั้นต่างๆ นั้น

เมื่อระดับน้ำลดลงมาถึงระดับพื้นดิน ระดับน้ำเริ่มคงที่ไม่ลดลงไปอีก เมื่อน้ำนิ่งจึงเกิดการรวมตัวกันเป็นตะกอนลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ซึ่งตะกอนนี้เกิดจากการรวมตัวของธาตุหยาบ (การเกิดขึ้นของภพพรหมและสวรรค์ เป็นการรวมตัวของธาตุละเอียด ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์) ตะกอนที่รวมตัวและลอยอยู่เหนือน้ำนี้ คล้ายกับการลอยของใบบัวที่อยู่เหนือน้ำคือลอยอยู่ได้โดยไม่จม มีสีเหลือง รสหวาน และมีกลิ่นหอม (เรียกว่า ง้วนดิน) ซึ่งต่อมาคือแผ่นดินที่รองรับสิ่งต่าง ๆ โดยตะกอนที่เกิดขึ้นมาก่อนเรียกว่า ศีรษะแผ่นดิน ซึ่งถือว่าเป็นประธานของโลกมนุษย์

หลังจากแผ่นดินได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อมาได้มีต้นไม้เกิดขึ้น ต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นชนิดแรกคือ ต้นบัว โดยที่เป็นบัวที่มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้น และขึ้นบนแผ่นดิน ต่างจากบัวในปัจจุบันที่เป็นไม้ล้มลุกและขึ้นเฉพาะในน้ำ บัวที่เกิดขึ้นนี้จะปรากฏขึ้นทุกครั้งที่โลกกำเนิดขึ้นหลังจากที่ถูกทำลายไป โดยที่ในการเกิดขึ้นของดอกบัวนี้จะออกดอกไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง บางครั้งไม่มีดอก บางครั้งมีดอก โดยการออกดอกจะมีตั้งแต่ ๑ ถึง ๕ ดอก แต่จะไม่มากไปกว่านั้น ซึ่งจำนวนของดอกบัวที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นสิ่งที่บอกว่า จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดหรือไม่บังเกิดขึ้น หรือว่าบังเกิดขึ้นอีกพระองค์ในกัปนั้น (อย่างเช่นในกัปของเรา มีดอกบัวปรากฏเมื่อครั้งกำเนิดโลก ๕ ดอก ก็หมายความว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๕ พระองค์) บัวนี้จึงมีชื่อว่า บัวพยากรณ์

การเกิดของสิ่งมีชีวิตในภพภูมิต่าง ๆ มีด้วยกัน ๔ วิธี เรียกว่า กำเนิด ๔ คือ

๑. สังเสทชะกำเนิด คือ เกิดในเถ้า ไคล สิ่งปฏิกูลต่าง ๆ เช่น การเกิดของจุรินทรีย์ เชื้อโรคต่างๆ

๒. โอปปาติกะกำเนิด คือ การที่ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เมื่อเกิดแล้วโตเต็มวัยเลย ได้แก่ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสรุกาย และมนุษย์ยุคแรก

๓. อัณฑชะกำเนิด คือ การเกิดในฟองไข่ เช่น พวกสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน

๔. ชลาพุชะกำเนิด คือ การเกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ในปัจจุบัน สัตว์ต่าง ๆ

มนุษย์ยุคแรก

หลังจากที่แผ่นดินได้เกิดขึ้นแล้ว ได้มีพรหมพวกหนึ่งจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ โดยเป็นพรหมที่หมดบุญ หรือสิ้นอายุจากชั้นอาภัสสราพรหม การเกิดมาเป็นมนุษย์ในยุคแรกนี้ เป็นการเกิดเองโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เกิดแล้วมาก็โตเต็มวัยเลย ซึ่งการเกิดชนิดนี้เรียกว่า เกิดแบบโอปปาติกะ

มนุษย์ที่จุติมาจากอาภัสสราพรหมนี้ จะมีรูปร่างและลักษณะเหมือนขณะที่ตอนยังเป็นพรหม คือจะไม่มีเพศ ร่างกายมีแสงสว่างเรือง มีรัศมีสว่าง เหาะไปมาในอากาศได้ และมีปีติเป็นอาหาร ไม่ต้องกินสิ่งอื่นที่อยู่ภายนอกร่างกายเข้าไป

โลกในช่วงที่พรหมลงมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ มีสัณฐานแบนและมีจุดเชื่อมต่อกับสวรรค์ (สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา) โลกกับสวรรค์สามารถไปมาหาสู่กันได้ แต่ต่อมาจึงค่อย ๆ เปลี่ยนรูปทรงและเคลื่อนตัวห่างออกจากสวรรค์ไปตามบาปอกุศลที่มนุษย์สร้าง ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ จากโลกที่แต่เดิมมีสัณฐานแบน ก็เริ่มฟูขึ้น เมื่อฟูจนได้ระดับหนึ่ง ก็จะหดตัวเข้าเป็นทรงรี แล้วจึงกลายเป็นทรงกลมในที่สุด ซึ่งแต่ละช่วงที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงรูปทรงนี้ใช้เวลานานมาก ยุคที่โลกกลมนี้เป็นยุคที่มนุษย์มีอายุต่ำกว่า ๑ แสนปี

มนุษย์ที่เกิดมีชีวิตอยู่เช่นนั้นเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งมีมนุษย์คนหนึ่ง (มนุษย์ที่ลงมาเกิดในยุคนี้มีเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่คนเดียวหรือ ๒ คน) เห็นดินที่มีสีสันสวยงาม มีกลิ่นหอม เห็นแล้วก็อยากจะหยิบขึ้นมาลิ้มลอง จึงหยิบใส่ปากเพื่อลิ้มรส แต่เพียงแค่ดินนั้น (ง้วนดิน) สัมผัสเพียงปลายลิ้น รสดินก็แผ่ซาบซ่านไปทั่วร่างกาย มีรสเป็นที่ถูกใจของมนุษย์ผู้นั้น จึงหยิบมาบริโภคอีก มนุษย์อื่นเห็นเช่นนั้นจึงพากันเอาอย่างบ้าง และเนื่องจากง้วนดินที่บริโภคเข้าไปนั้นเป็นอาหารหยาบ จึงทำให้รัศมีกายและแสงในตัวของมนุษย์หายไป ความมืดจึงบังเกิดขึ้น มนุษย์ทั้งหลายเมื่อถูกความมืดปกคลุมจึงพากันตกใจ

เมื่อความมืดบังเกิดขึ้นอยู่นั้นเอง สุริยเทพบุตรพร้อมด้วยดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยก็บังเกิดขึ้น ทำให้มีแสงสว่างเกิดขึ้นมาขับไล่ความมืด จากนั้นดวงจันทร์และดวงดาวต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น ทำให้มีกลางวัน กลางคืน ฤดูกาลต่าง ๆ พร้อมกับการเกิดขึ้นของเขาพระสุเมรุ เขาจักรวาล เขาหิมพานต์ และมหาสมุทร ซึ่งการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านี้ใช้เวลานานมาก

นอกจากฤทธิ์ของอาหารหยาบที่มนุษย์บริโภคเข้าไป จะทำให้รัศมีกายและความสว่างหายไปแล้ว ยังส่งผลให้มนุษย์มีผิวพรรณที่เศร้าหมองลงไม่ผ่องใสสวยงามเหมือนดังเดิม แต่ความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นในมนุษย์แต่ละคนมีไม่เท่ากัน บางคนเศร้าหมองน้อย บางคนเศร้าหมองมาก ขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่เคยทำมาในชาติต่าง ๆ และกิเลสที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เมื่อมีความแตกต่างเกิดขึ้น ทำให้มนุษย์มีความยึดมั่นและถือตัวเกิดขึ้น จึงทำให้ร่างกายที่เคยเหาะได้หยาบลง จึงเหาะไม่ได้อีกต่อไป

และจากบาปกรรมที่เกิดขึ้นนี้ สิ่งต่างจึงแปรเปลี่ยนไป ง้วนดินที่เคยมีรสอร่อยได้หายไป กลายเป็นสะเก็ดดิน แต่ยังคงมีรสอร่อย และกลิ่นหอม บริโภคได้เหมือนเดิม ยิ่งมนุษย์ถูกกิเลสครอบงำเท่าไร ความประณีตของอาหารก็น้อยลงทุกที จากสะเก็ดดิน กลายเป็นเครือดิน และต่อมาได้กลายเป็นข้าวสาลี

ข้าวสาลีในยุคนั้นต่างข้าวสาลีในยุคปัจจุบัน โดยเป็นข้าวที่มีเปลือกบางคล้าย ๆ เปลือกของแตงกวา จึงกินได้ทั้งเปลือก มีสีเหลืองอมขาว รู้สึกนุ่มเมื่อเคี้ยว มีกลิ่นหอม มีคุณค่าทางอาหารครบ และมีความอร่อยอยู่ในตัว เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะสามารถดับความหิวกระหาย ความเหน็ดเหนื่อยได้ ขนาดของเมล็ดประมาณ ๑ ศอกของมนุษย์ในยุคนั้น(ศอกที่กำมือแล้ว) ๑ เมล็ดสามารถบริโภคได้ ๓- ๕ คน เมื่อจะบริโภคก็นำมาวางไว้บนแผ่นหินชนิดหนึ่ง ข้าวก็จะสุกเอง

เนื่องจากมนุษย์ยุคนั้นมีร่างกายที่ใหญ่กว่ายุคปัจจุบันมาก ข้าวสาลีจึงมีลำต้นสูงใหญ่มาก โดยสูงประมาณเท่าต้นยางนา (ยางนาสูงโดยเฉลี่ย ๔๐ - ๔๕ เมตร) และสูงกว่ามนุษย์ในยุคนั้น ปกติรวงข้าวจะตั้งตรง แต่ครั้นเมื่อรวงข้าวสุกก็จะโน้มลงมาจนมนุษย์สามารถเก็บได้ เมื่อเก็บแล้วก็จะงอกออกมาใหม่ และขึ้นได้ทั่วไป

เนื่องจากคุณภาพของอาหารที่มนุษย์บริโภคเข้าไป มีลักษณะหยาบขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะกิเลสที่เพิ่มมากขึ้นของมนุษย์ ทำให้อาหารที่มนุษย์บริโภคเข้าไปนั้นไม่สามารถถูกดูดซึมได้ดังเดิม เกิดมีกากอาหารขึ้นกายเป็นของส่วนเกิดของร่างกาย ร่างกายของมนุษย์จึงปรากฏช่องทางขับถ่ายขึ้นคือทวารหนักและทวารเบา แต่เนื่องจากกรรมที่เคยประพฤติผิดศีลกาเมของชาติในอดีต ส่งผลทำให้มนุษย์มีอวัยวะเพศต่างกัน บางคนเพศหญิงปรากฏ บางคนเพศชายปรากฏ

เมื่ออวัยวะเพศปรากฏ และด้วยเหตุว่า มีเพศต่างกันเป็นเพศหญิงเพศชาย ทำให้มนุษย์เพ่งเล็งกันและกัน มีความปรารถนาในกาม มีความสนใจในเพศตรงข้าม จึงต่างเข้าหากันและได้เสพเมถุนธรรมต่กัน และเนื่องจากการเสพเมถุนธรรมนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ จึงทำให้มนุษย์ส่วนมาก เห็นการที่หญิงชายเสพกามกันนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จังพากันห้ามปราม จับแยก รวมทั้งติเตียน ด่าว่า จนกระทั่งพากันขับไล่ โดยในพระสูตรได้พรรณนาถึงอาการขับไล่ไว้ว่า

" สัตว์เหล่าใดเห็นสัตว์เหล่าอื่นกำลังเสพเมถุนกัน ก็โปรยฝุ่นลงบ้าง โปรยขี้เถ้าลงบ้าง โปรยโคมัยลงบ้าง ด้วยกล่าวว่า คนถ่อย เจ้าจงฉิบหาย คนถ่อย เจ้าจงฉิบหายดังนี้ แล้วกล่าวว่า ก็สัตว์จักกระทำกรรมอย่างนี้แก่สัตว์อย่างไรดังนี้ ... "

เมื่อชายหญิงเหล่านั้น ถูกรังเกียจและขับไล่ จึงเสาะแวงหาหาและสร้างที่มุงบังเพื่อป้องปิดในเวลาเสพเมถุนธรรม ทำให้มีการสร้างบ้านเรือนตามมา เมื่อมนุษย์ต่างก็ซ้องเสพกามกัน ทำให้การเกิดแบบชลาพุชะคือ การเกิดในมดลูกมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ซึ่งถือได้ว่ามนุษย์ได้เริ่มเกิดจากครรภ์ตั้งแต่ครั้งนั้น หลังจากนั้นก็ไม่มีการเกิดแบบโอปปาติกะในหมู่มนุษย์อีก

เมื่อมนุษย์สร้างบ้านเรือน มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งจึงเกียจคร้านในการออกไปแสวงหาข้าวสาลีบ่อย ๆ เกิดความโลภขึ้น เมื่อออกไปเก็บข้าวสาลีก็นำมาทีละมาก ๆ นำมาสะสมไว้ ยิ่งความโลภมากเท่าไรความประณีตของอาหารก็ยิ่งน้อยลง ข้าวสาลีจึงเริ่มเสื่อมคุณภาพลงไปเรื่อย ๆ ขนาดต้นเล็กลง ปรากฏมีเปลือกขึ้น และเมื่อเก็บไปแล้วก็ไม่งอกออกมาอีก ที่เคยขึ้นอยู่ทั่วไป ก็เริ่มลดน้อยร่อยหรอลงไปเรื่อย หาได้ยากขึ้น

จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของพรหมในชั้นอาภัสสราที่ได้เสื่อมจากอัตภาพเดิมกลายมาเป็นมนุษย์ในยุคต้นกัป เพราะอาศัยเหตุคือง้วนดิน

หากจะกล่าวอีกนัยหนึ่งง้วนดินก็เป็นวัตถุกามชั้นเลิศ ที่ชักชวนให้พรหมเหล่านั้นหันมาสนใจ เมื่อทดลองลิ้มก็ติดใจ ถูกกิเลสกามคือความอยากที่มีอยู่ในใจแต่เดิมเข้าครอบงำ อุปมาเปรียบง้วนดินได้กับกับดักของนายพราน ที่คอยดักสัตว์ป่าผู้โง่เขลาให้เข้ามาติดนั่นเอง

ถึงแม้ว่าอาภัสสราพรหมจะเป็นมนุษย์ในยุคต้นกัป แต่อายุของมนุษย์นั้นก็ยืนยาวจนมิอาจที่จะนับได้ซึ่งในภาษาบาลี คือ อสงไขยปี เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในสมัยนั้นมิได้มีมลภาวะเช่นปัจจุบัน ดินฟ้าอากาศ ฤดูต่างๆ ก็มิได้แปรปรวนมีแต่ฤดูสบาย ไม่ต้องมีบ้านไว้คอยกันฝน ไม่ต้องมีร่มเงาไว้คอยบังแดด เครื่องนุ่งห่มนั้นก็เป็นเครื่องนุ่งห่มเมื่อครั้งยังเป็นพรหม ไม่ต้องมีการประกอบการงาน สิ่งใดที่เป็นความยากลำบากในยุคนั้นล้วนมิได้มีเลย

โลกในยุคแรกจึงเป็นโลกที่สะดวกสบาย ปราศจากความทุกข์ยากลำบากใดๆ หากจะมีความทุกข์บ้างก็เป็นความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาชดเชยแทน เช่น การเสื่อมจากง้วนดินที่เป็นอาหารอันประณีต กลับกลายมาเป็นต้องรับประทาน กะบิดินและเครือดินตามลำดับ เป็นต้น

การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่มีผลกระทบอย่างยิ่งต่อมนุษย์ในยุคนั้น ก็คือเรื่องของผิวพรรณที่มีทั้งงามและทรามควบคู่กันไป เพราะการบริโภคของพวกมนุษย์ในยุคต้นกัปนั้นในสมัยที่ตนยังเป็นพรหมอยู่ก็บริโภคด้วยความต้องการ หาใช่เพราะความจำเป็นไม่ เพราะพรหมนั้นมีปีติเป็นภักษาอยู่แล้ว อาหารอย่างอื่นจึงไม่มีความจำเป็น เมื่อมนุษย์คนใดมีความต้องการมาก ก็จะบริโภคมากมาตั้งแต่สมัยที่ตนยังเป็นพรหม ธาตุหยาบที่มีสั่งสมอยู่ในร่างกายก็จะมากตามไปด้วย เป็นเหตุให้ความประณีตของผิวพรรณลดลง หากมนุษย์คนใดบริโภคเพียงเพื่อต้องการแค่ให้ดำรงอัตภาพได้ธาตุหยาบที่ได้จากอาหารก็จะเข้าไปในร่างกายน้อย ความประณีตของผิวพรรณจึงยังมีอยู่บ้าง ทำให้มีผิวพรรณงามกว่าพวกที่บริโภคมาก

เราอาจจะเปรียบเทียบกับการผสมสีดำลงไปในสีขาว ซึ่งถือว่าเป็นสีที่มีความบริสุทธิ์หากผสมน้อย สีขาวก็จะกลายเป็นสีเทา แต่หากผสมมากไปสีขาวก็จะกลายเป็นสีแดงไปในที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้พวกมนุษย์เหล่านั้นจึงดูหมิ่นผิวพรรณของกันและกัน การที่กายของพรหมหมดรัศมีไป รวมไปถึงความกล้าแข็งของกายที่ค่อยมีมากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบปรากฏการณ์เช่นนี้ ได้กับวิธีการทางเคมีของนักวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาธาตุองค์ประกอบหลาย ๆ ตัวไปผสมเข้ากับธาตุหลักตัวใดตัวหนึ่ง จนทำให้ธาตุนั้นเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลง ไปเป็นธาตุตามที่เราต้องการ นี้เป็นหลักพื้นฐานง่าย ๆ ในวิชาเคมี

และเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างช้าๆได้กับการนำน้ำเปล่าเข้าไปแช่ในช่องฟรีส น้ำที่เป็นของเหลวในตอนแรกพอเย็นมากเข้าๆ ก็จะค่อย ๆ กลายเป็นวุ้น และพอถึงความเย็นระดับหนึ่ง ก็จะกลายเป็นก้อนแข็งไปในที่สุด น้ำนั้นมิได้แข็งขึ้นในทันทีทันใด ร่างกายของพวกพรหมก่อนที่จะกลายเป็นมนุษย์ในยุคต้นกัป ก็จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น ซึ่งจะต้องอาศัยระยะเวลาเป็นล้านๆ ปี

ร่างกายของมนุษย์ในยุคต้นกัปนั้น มีขนาดที่ใหญ่โตและแข็งแรงมาก ถ้าจะยกตัวอย่างจากในพระไตรปิฎก ก็มีในคัมภีร์พุทธวงศ์ที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆ ที่มีพระชนมายุ และขนาดของพระวรกายไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าบางพระองค์มีพระวรกายสูงถึง 60 ศอก

หรือถ้าจะยกตัวอย่างยุคที่ใกล้เข้ามาอีก ก็คงจะเป็นเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ของชาติต่าง ๆในสมัยก่อนที่มีขนาดใหญ่โต เช่น อาวุธในสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ แม้กระทั่งของไทยเราเองที่มีแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติซึ่งบุคคลเหล่านั้นแม้จะมิได้ดำรงอยู่ในยุคต้นกัป ก็ยังมีรูปกายที่ใหญ่โต มีพละกำลังมหาศาลขนาดนั้น จึงสะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในยุคก่อนส่งผลมายังร่างกายของมนุษย์โดยลำดับ เมื่อสภาพแวดล้อมของธรรมชาติเลวลงกายของมนุษย์ก็ค่อย ๆ เล็กลง เริ่มอ่อนแอมากขึ้น มีโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มขึ้น แล้วเหตุที่สภาพแวดล้อมของธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงไปก็มีเหตุมาจากจิตใจของมนุษย์นี่เอง

ระบอบการปกครองแรกของโลก

เมื่อข้าวสาลีเริ่มปรากฏน้อยลง ซ้ำยังห่างไกลออกไปจากที่อยู่อาศัยขึ้นเรื่อย ๆ จึงเริ่มมีการจับจองพื้นที่และแบ่งปันเขตแดนกัน แต่เนื่องจากมีผู้ที่อยากได้ข้าวของผู้อื่นจึงทำการลักขโมย เมื่อมีการจับได้ก็จะตัดพ้อต่อว่า และเมื่อบ่อยครั้งเข้าก็มีการทำร้ายร่าง เกิดความเดือดร้อนขึ้น มนุษย์จึงปรึกษาให้มีการตั้งทำหน้าที่ปกครองพวกตนขึ้นเป็นหัวหน้า

ในการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นผู้ปกครองนั้น มนุษย์จะเลือกผู้ที่มีสติปัญญา มีรูปร่างลักษณะและกิริยาสง่างามน่าเกรงขาม สามารถปกครองคนทั้งปวงได้ เมื่อพบผู้ใดที่มีคุณสมบัตินี้แล้ว ก็จะเลือกให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองประเทศ ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินก็จะทรงวางระเบียบแบบแผน และออกกฎข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีการจัดแบ่งปันเขตแดนต่าง ๆ อย่างยุติธรรม จึงทำให้ได้รับการยกย่องเป็นกษัตริย์ ซึ่งแปลว่าผู้เป็นใหญ่ในการเกษตร ระบอบกษัตริย์จึงเป็นการปกครองระบอบแรกของมนุษยชาติ แต่กษัตริย์ในยุคนั้น ปกครองผู้ใต้ปกครองแบบพ่อปกครองลูก

แม้ว่าจะมีการเลือกกษัตริย์แล้ว แต่มนุษย์บางพวกเห็นการกระทำของมนุษย์ที่กระทำความผิด จึงพากันหลีกเลี่ยงออกจากอกุศลเหล่านั้น พากันลอยบาปอกุศลทิ้งไปจึงถูกสมมติว่า พราหมณ์ พวกเขาพากันสร้างกระท่อมที่มุงบังด้วยใบไม้อยู่ในราวป่า ทำการเพ่งกสิณอยู่ในป่า ไม่ได้ทำมาหากินเช่นพวกมนุษย์ทั่วไป แต่แสวงหาอาหารด้วยการขอจากชนในหมู่บ้านเพื่อบริโภคในเวลาเช้าเย็น ชนเหล่านั้นเห็นเขาทำการลอยบาปอกุศลซึ่งพวกตนก็ยังไม่สามารถทำได้จึงยินดีมอบอาหารให้แก่เขา เมื่อเขาได้อาหารแล้วก็กลับไปทำความเพียรเพ่งต่อ จนฌานเกิดขึ้น พวกเขาจึงได้ถูกเรียกสมมติว่า ฌายิกา

พวกพราหมณ์ที่ทำการเพ่งกสิณบางพวกมิได้ทำฌานให้บังเกิดขึ้นได้ กลับพากันเที่ยวไปรอบนิคมแล้วเขียนคัมภีร์ต่าง ๆ ขึ้นมา พวกเขาถูกเรียกสมมติว่า อัชฌายิกา คำนี้ในสมัยก่อนท่านสมมติกันว่าเป็นคำเลว แต่ในสมัยนี้กลับถูกสมมติว่าเป็นคำประเสริฐฝ่ายมนุษย์ที่ยึดติดในเมถุนธรรมแยกกันทำงานต่างๆเพื่อหาเลี้ยงชีพจึงถูกเรียกสมมติว่า เวสสา คำว่า แพศย์และศูทร จึงเกิดขึ้นต่อมาภายหลังเพราะการแยกประเภทของผู้ทำการงาน คือแพศย์นั้นเป็นนายหรือเจ้าของงาน แต่ศูทรกลับเป็นคนที่ทำงานให้เพื่อการรับค่าจ้าง

ต่อมาเมื่อมีสัตว์เกิดขึ้น โดยช้างกับม้าเกิดขึ้นก่อน เกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก มนุษย์ได้จับช้างและม้ามาใช้สำหรับทำการเกษตร และเป็นพาหนะในการเดินทาง แต่ก่อนที่จะนำไปใช้จะต้อนสัตว์เหล่านั้น เลือกสัตว์ที่มีลักษณะดีถวายกษัตริย์ และให้กษัตริย์แบ่งปันช้างม้าให้ประชาชนนำไปใช้

กำเนิดสัตว์

เมื่อมนุษย์ได้มีการคัดเลือกบุคคลขึ้นมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อปกครองพวกของตนแล้ว ทำให้สังคมสงบขึ้นมาอีกครั้ง เพราะแต่ละคนต่างก็เชื่อฟังพระเจ้าแผ่นดิน ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติระเบียบแบบแผนที่พระเจ้าแผ่นดินทรงวางไว้ แต่อย่างไรก็ตามกิเลสในตัวมนุษย์ก็ไม่ได้น้อยลงไป กลับแต่จะมีเพิ่มขึ้นทุกที ดังนั้นอาหารต่าง ๆ จึงหยาบลงไปเรื่อย จากที่เป็นข้าวสาลีมีรสอร่อยกินได้โดยไม่ต้องอาศัยกับข้าว ก็มีคุณค่าทางอาหารน้อยลง รสไม่โอชาเช่นเดิม แต่ก็ได้มีพืชผัก ผลไม้ต่าง ๆ เกิดขึ้น โดยที่ต้นไม้เหล่านี้เกิดแบบโอปปาติกะ เกิดมาแล้วโตเลย ไม่มีการงอกจากเมล็ดแล้วค่อย ๆ โตขึ้น เมื่อมนุษย์เห็นก็นำมากินเป็นกับข้าว โยตลอดแรก ๆ ก็กินสด ๆ โดยไม่มีการปรุงหรือทำให้สุกอย่างในปัจจุบัน

ต่อมาเมื่อกิเลสเพิ่มมากอีก สัตว์ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น โดยสัตว์เหล่านี้เป็นที่เคยอยู่ในอบายภูมิของจักรวาลอื่น ซึ่งมีทั้งที่จากสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน เมื่อจักรวาลที่สัตว์เหล่านี้เสวยกรรมอยู่ถูกทำลาย ซึ่งอาจจะถูกทำลายด้วย ไฟ น้ำ หรือลม ก็ตาม เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ยังไม่หมดกรรมที่ตนจะต้องใช้ จึงถูกลมกรรมพัดจากจักรวาลที่ถูกทำลายนั้นไปบังเกิดในจักรวาลต่าง ๆ ที่ยังไม่ถูกทำลาย และไปบังเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ตามกรรมของตนตามที่ตนเคยเป็นในจักรวาลเดิม สัตว์ใดมีกรรมที่จะต้องมาเป็นสัตว์ ก็มาบังเกิดเป็นสัตว์ในจักรวาลที่ไปบังเกิดใหม่นั้น

สัตว์ในยุคแรกก็เช่นเดียวกับมนุษย์และพืชทั้งหลาย คือ เกิดแบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตเต็มไวทันที ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่เป็นที่เกิด โดยการเกิดเป็นสัตว์อะไรนั้นขึ้นอยู่กับวิบากกรรมที่มีโลภะ โทสะ โมหะ ปรุงแต่ง ซึ่งโยปกติการเดเป็นสัตว์ดิรัจฉานนั้น จะมีโมหะเป็นหลัก ถ้าหากว่ามีโทสะผสมมากมีโลภะเพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดเป็นสัตว์กินเนื้อ ถ้ามีโลภะมากมีโทสะเพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดเป็นสัตว์กินพืช และถ้าหากมีทั้งโทสะและโลภะก็จะเกิดเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชทั้งเนื้อ

การส่วนสัดของ โลภะ โทสะ โมหะ ส่งผลทำให้เป็นสัตว์ต่าง ๆ หลากหลายกันไปนั้น เพื่อให้เข้าใจง่าย จะขอเปรียบเทียบกับการผสมสี คือ ปกติแม่สีมีอยู่ ๓ สี คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เมื่อนำมาผสมกันเข้าแล้ว หากว่ามีการเปลี่ยนสัดส่วนของสี ไม่ว่าจะเป็นสีใดก็ตาม ย่อมทำให้สีที่ได้ออกมาแตกต่างกันไปได้อย่างหลากลหลาย เช่นเดียวกันเพราะสัตว์ส่วนของ โลภะ โทสะ โมหะ แตกต่างกันจึงทำให้มีสัตว์ต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย

สัตว์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกก่อนสัตว์ชนิดอื่นทุกชนิด คือ ช้างและม้า ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ชั้นสูง โดยเกิดมาแบบโอปปาติกะ จากนั้นสัตว์ต่างจึงเกิดตามมา สัตว์ที่เกิดมานี้ล้วนเกิดแบบโอปปาติกะทั้งสิ้น แต่ว่าจะมีเพศมาด้วย ถ้ามีกรรมกาเมติดมาก็จะมาเกิดเป็นสัตว์เพศเมีย ถ้าไม่มีกรรมหรือใช้กรรมกาเมหมดแล้วก็จะเกิดเป็นสัตว์เพศผู้ เมื่อสัตว์ต่างเพศมาเจอกันจึงดึงดูดเข้าหากัน และสืบพันธุ์จึงทำให้มีการเกิดแบบอัณฑชะ คือ เกิดในฟองไข่เกิดขึ้น